หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 วิวัฒนาการของดนตรีสากล
การจะสืบสานเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของดนตรีสากลตั้งแต่สมัยโบราณนั้น
ๆ เป็นเรื่องที่ยากเพราะดนตรีเป็นศิลปะของการใช้เสียง ถ้าหากไม่มีการจดบันทึกไว้
เสียงเหล่านั้น ย่อมสูญหายไปตามกาลเวลา
และเนื่องจากการจดบันทึกทางดนตรีในสมัยโบราณไม่เคยมีมาก่อน
การรู้จักใช้อักษรหรือสัญลักษณ์อื่นๆ
เพิ่งจะมีปรากฏและเริ่มใช้กันในสมัยเริ่มต้นของยุคกลาง คือ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
๕-๖ และการบันทึกก็มีเพียงเครื่องหมายแสดง “ระดับของเสียง” และ “จังหวะ" เท่านั้น
แท้จริงแล้วดนตรีเกิดขึ้นมาในโลกพร้อมๆ
กับมนุษย์นั่นเอง ในยุคแรกๆ มนุษย์อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำหรือแม้แต่ในโพรงไม้
มนุษย์ก็รู้จักการร้องรําทําเพลงตามธรรมชาติ เช่น รู้จักการปรบมือ เคาะหิน เคาะไม้
เป่าปาก เป็นต้น พร้อมกันนี้ก็มีการเปล่งเสียงร้องออกมาตามอุบัติการณ์ที่
เกี่ยวข้อง ซึ่งการร้องรําทําเพลงของมนุษย์ในยุคนั้นมักทําเพื่ออ้อนวอนเทพเจ้า
เพื่อช่วยให้ตน มีความสุขความสบายและรู้สึกปลอดภัย
โลกได้เปลี่ยนมาหลายยุคหลายสมัย
ดนตรีก็มีวิวัฒนาการไปตามความเจริญและความคิด สร้างสรรค์ของมนุษย์
ทั้งนี้เครื่องดนตรีในสมัยเริ่มแรกที่เคยใช้ก็ได้วิวัฒนาการมาเป็นลําดับขั้น
จนกลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน
และเพลงที่เคยร้องเพื่ออ้อนวอนพระเจ้า
ก็กลายมาเป็นเพลงสวดทางศาสนาหรือเพลงที่ร้องโดยทั่วๆ ไป
ในระยะแรกๆ
นั้น ดนตรีมีอยู่เพียงเสียงเดียวและแนวเดียว เรียกว่า “แนวทํานอง” (Melody) เท่านั้น ไม่มีการประสานเสียง
เมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษจนถึงศตวรรษที่ ๑๒ มนุษย์จึง เริ่มรู้จักใช้เสียงต่างๆ
มาประสานกันอย่างง่ายๆ เกิดเป็นดนตรีหลายเสียงขึ้นมา และนับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา
นักปราชญ์ทางดนตรีก็ได้แบ่งดนตรีออกเป็นยุคต่างๆ อนุโลมเข้ากับยุคของศิลปะ ดังนี้
1.
ยุคกลาง (Middle Ages)
ยุคนี้คือ ช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 5-15 (ราว ค.ศ.
450-1400) อาจเรียกว่า ยุคเมดิอีวัล (Medieval Period) ดนตรีในยุคนี้เป็น vocal
polyphony คือ เป็นเพลงร้องโดยมีแนวทำนองหลายแนวสอดประสานกัน ซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวด (Chant) และเป็นเพลงแบบมีทำนองเดียว (Monophony) ในระยะแรกเป็นดนตรีที่ไม่มีอัตราจังหวะ
(Non-metrical) ในระยะต่อมาใช้อัตราจังหวะ 3/4
ต่อมาในศตวรรษที่ 14 มักใช้อัตราจังหวะ 2/4 เพลงร้องพบได้ทั่วไป
และเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี รูปแบบของเพลงเป็นแบบล้อทำนอง
(Canon)
บทเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงร้องที่ใช้ในโบสถ์เพื่อสรรเสริญพระเจ้าเพียงอย่างเดียว โดยบางครั้งอาจเป็นการร้องสอดประสานกันบ้างประมาณ 2-3 แนวในปลายยุคและยังไม่พบการบรรเลงที่เป็นรูปแบบมาตรฐานอย่างเด่นชัด
2.
ยุคเรเนซองค์ (Renaissance Period)
เป็นดนตรีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 (ราว ค.ศ.
1450-1600) การสอดประสาน(Polyphony) ยังเป็นลักษณะของเพลงในยุคนี้โดยมีการล้อกันของแนวทำนองเดียวกัน
(Imitative style)ลักษณะบันไดเสียงเป็นแบบโหมด(Modes)
ยังไม่นิยมแบบบันไดเสียง(Scales) การประสานเสียงเกิดจากแนวทำนองแต่ละแนวสอดประสานกัน
มิได้เกิดจากการใช้คุณสมบัติของคอร์ด
ลักษณะของจังหวะมีทั้งเพลงแบบมีอัตราจังหวะและไม่มีอัตราจังหวะ
ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยยังมีน้อยไม่ค่อยพบ
ลักษณะของเพลงมีความนิยมพอๆกัน
ระหว่างเพลงร้องและบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเริ่มมีการผสมวงเล็กๆเกิดขึ้น
บทเพลงในยุคนี้เริ่มมีการผสมผสานระหว่างเพลงพื้นฐานกับเพลงที่ใช้ในโบสถ์
โดยการนำเอาเทคนิคการประพันธ์เพลงพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้กับเพลงสวด
ทำให้เกิดการนำเอาเครื่องดนตรีบางชนิดเข้ามาประกอบในเพลงสวดที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ
เช่น ออร์แกน ฮาร์ฟซิคอร์ด เป็นต้น
3. ยุคบาโรค (Baroque Period)
เป็นยุคของดนตรีในระหว่างศตวรรษที่17-18 (ราว ค.ศ. 1600-1750) การสอดประสานเป็นลักษณะที่พบได้เสมอในปลายยุค ช่วงต้นยุคมีการใช้ลักษณะการใส่เสียงประสาน(Homophony) เริ่มนิยมการใช้เสียงเมเจอร์และไมเนอร์แทนการใช้โหมดต่างๆ การประสานเสียงมีหลักเกณฑ์เป็นระบบ มีการใช้เสียงหลัก (Tonal canter) อัตราจังหวะเป็นสิ่งสำคัญของบทเพลง การใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อย เป็นลักษณะของความดัง-ค่อย มากกว่าจะใช้ลักษณะค่อยๆ ดังขึ้นหรือค่อยๆลง (Crescendo, diminuendo)ไม่มีลักษณะของความดังค่อยอย่างมาก (Fortissimo, pianisso) บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเป็นที่นิยมมากขึ้นบทเพลงร้องยังคงมีอยู่และเป็นทีนิยมเช่นกัน นิยมการนำวงดนตรีเล่นผสมกับการเล่นเดี่ยวของกลุ่มเครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น (Concerto grosso)
4.
ยุคคลาสสิค (Classical period)
เป็นยุคที่ดนตรีมีกฎเกณฑ์แบบแผนอย่างมาก
อยู่ในระหว่างศตวรรษที่ 18 และช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1750-1825)
การใส่เสียงประสานเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้
การสอดประสานพบได้บ้างแต่ไม่เด่นเท่าการใส่เสียงประสาน
การใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์เป็นหลักในการประพันธ์เพลง
ลักษณะของบทเพลงมีความสวยงามมีแบบแผน บริสุทธิ์
มีการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็นสำคัญ
ลีลาของเพลงอยู่ในขอบเขตที่นักประพันธ์ในยุคนี้ยอมรับกัน ไม่มีการแสดงอารมณ์
หรือความรู้สึกของผู้ประพันธ์ไว้ในบทเพลงอย่างเด่นชัด การผสมวงดนตรีพัฒนามากขึ้น
การบรรเลงโดยใช้วงและการเดี่ยวดนตรีของผู้เล่นเพียงคนเดียว(Concerto)
เป็นลักษณะที่นิยมในยุคนี้ บทเพลงประเภทซิมโฟนีมีแบบแผนที่นิยมกันในยุคนี้เช่นเดียวกับเพลงเดี่ยว(Sonata) ด้วยเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ
บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่นิยมเป็นอย่างมาก บทเพลงร้องมีลักษณะซับซ้อนกันมากขึ้น
เช่นเดียวกับบทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี
เครื่องดนตรีมีวิวัฒนาการมาจนสมบูรณ์ที่สุด เริ่มมีการผสมวงที่กำหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือใหญ่ คือ วงเชมเบอร์มิวสิก และวงออร์เคสตราในการจัดวงออร์เคสตราใช้เครื่องดนตรีครบทุกประเภท คือ เครื่องสาย เครื่องลมไม้ เครื่องลมทองเหลือง และเครื่องตีวงออร์เคสตรา ในยุคนี้ถือได้ว่ามีรูปแบบที่ใช้เป็นแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน
5.
ยุคโรแมนติก (Romantic period)
เป็นยุคของดนตรีระหว่างคริสต์ศตวรรษที่
19 (ราว ค.ศ. 1825-1900) ลักษณะเด่นของดนตรีในยุคนี้ คือ
เป็นดนตรีที่แสดงความรู้สึกของนักประพันธ์เพลงเป็นอย่างมาก
ฉะนั้นโครงสร้างของดนตรีจึงมีหลากหลายแตกต่างกันไปในรายละเอียด
โดยการพัฒนาหลักการต่างๆ ต่อจากยุคคลาสสิก หลักการใช้บันไดเสียงไมเนอร์และเมเจอร์ยังเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ลักษณะการประสานเสียงมีการพัฒนาและคิดค้นหลักใหม่ๆ
ขึ้นอย่างมากเพื่อเป็นการสื่อสารแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลง
การใส่เสียงประสานจึงเป็นลักษณะเด่นของเพลงในยุคนี้ บทเพลงมักจะมีความยาวมากขึ้น
เนื่องจากมีการขยายรูปแบบของโครงสร้างดนตรี
มีการใส่สีสันของเสียงจากเครื่องดนตรีเป็นสื่อในการแสดงออกทางอารมณ์
ลักษณะการผสมวงพัฒนาไปมาก วงออร์เคสตร้ามีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าในยุคคลาสสิค
บทเพลงมีลักษณะต่างๆกันออกไป เพลงซิมโฟนี โซนาตา และแชมเบอร์มิวสิก ยังคงเป็นรูปแบบที่นิยมนอกเหนือไปจากเพลงลักษณะอื่นๆ
เช่น Prelude, Etude,Fantasia เป็นต้น
ในยุคนี้ เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับการพัฒนารูปร่างจนสามารถบรรเลงด้วยวิธีการและเทคนิคต่างๆ ที่หลากหลายได้เป็นอย่างดีในส่วนของการผสมวงออร์เคสตรา ยังคงใช้หลักการ ผสมวงออร์เคสตราตามยุคคลาสสิก และเพิ่มขนาดโดยการเพิ่มจำนวนเครื่องดนตรีให้มีความยิ่งใหญ่ขึ้นเพื่อให้อารมณ์ของบทเพลงมีความหลากหลายและสามารถสื่อถึงผู้ฟังได้อย่างเด่นชัด
6.
ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค (Impressionistic Period)
เป็นดนตรีอยู่ในช่วงระหว่าง
ค.ศ. 1890 – 1910 ลักษณะสำคัญของเพลงยุคนี้คือ ใช้บันไดเสียงแบบเสียงเต็ม
ซึ่งทำให้บทเพลงมีลักษณะลึกลับ คลุมเครือไม่กระจ่างชัด
เนื่องมาจากการประสานเสียงโดยใช้ในบันไดเสียงแบบเสียงเต็ม
บางครั้งจะมีความรู้สึกโล่งๆว่างๆ เสียงไม่หนักแน่น ดังเช่นเพลงในยุคโรแมนติก การประสานเสียงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์
ในยุคก่อนๆ สามารถพบการประสานเสียงแปลก ๆ
ไม่คาดคิดได้ในบทเพลงประเภทอิมเพรสชั่นนิซึม รูปแบบของเพลงเป็นรูปแบบง่าย
มักเป็นบทเพลงสั้นๆ รวมเป็นชุด
7.
ยุคศตวรรษที่ 20 (Contemporary Period)
ดนตรีในยุคศตวรรษที่
20 เป็นยุคของการทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ และนำเอาหลักการเก่าๆ
มากพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดในยุคปัจจุบัน เช่น
หลักการเคาเตอร์พอยต์(Counterpoint) ของโครงสร้างดนตรีแบบการสอดประสาน มีการใช้ประสานเสียงโดย
การใช้บันไดเสียงต่างๆ รวมกัน (Polytonatity) และการไม่ใช่เสียงหลักในการแต่งทำนองหรือประสานเสียงจึงเป็นเพลงแบบใช้บันไดเสียง
12 เสียง (Twelve-tone scale) ซึ่งเรียกว่า Atonality
อัตราจังหวะที่ใช้ทีการกลับไปกลับมา ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
การใช้การประสานเสียงที่ฟังระคายหูเป็นพื้น (Dissonance) วงดนตรีกลับมาเป็นวงเล็กแบบเชมเบอร์มิวสิก
ไม่นิยมวงออร์เคสตรา มักมีการใช้อิเลกโทรนิกส์
ทำให้เกิดเสียงดนตรีซึ่งมีสีสันที่แปลกออกไป เน้นการใช้จังหวะรูปแบบต่างๆ
บางครั้งไม่มีทำนองที่โดดเด่น ในขณะที่แนวคิดแบบโรแมนติกมีการพัฒนาควบคู่ไปเช่นกัน
เรียกว่านีโอโรแมนติก (Neo-Romantic) กล่าวโดยสรุปคือ
โครงสร้างของเพลงในศตวรรษที่ 20
นี้มีหลากหลายมากสามารถพบสิ่งต่างๆตั้งแต่ยุค
ต่างๆมาที่ผ่านมาแต่มีแนวคิดใหม่ที่เพิ่มเข้าไป
8.
ยุคศตวรรษที่ 20 (Contemporary Period)
หลังจากดนตรีสมัยโรแมนติกผ่านไป
ความเจริญในด้านต่าง ๆ ก็มีความสำคัญและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดมา ความเจริญทางด้านการค้าความเจริญทางด้านเทคโนโลยี
ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ การขนส่ง การสื่อสาร ดาวเทียม หรือ
แม้กระทั่งทางด้านคอมพิวเตอร์
ทำให้แนวความคิดทัศนคติของมนุษย์เราเปลี่ยนแปลงไปและแตกต่างจากแนวคิดของคนในสมัยก่อน
ๆ จึงส่งผลให้ดนตรีมีการพัฒนาเกิดขึ้นหลายรูปแบบ
คีตกวีทั้งหลายต่างก็ได้พยายามคิดวิธีการแต่งเพลง การสร้างเสียงใหม่ ๆ
รวมถึงรูปแบบการบรรเลงดนตรี เป็นต้น
รูปแบบดนตรีมีการผสมผสานรูปแบบใหม่ขึ้น ซึ่งมีการนำเสียงจากเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เป็นเครื่องดนตรีด้วยและส่วนดนตรีในรูปแบบดนตรีคลาสสิกก็ยังคงใช้รูปแบบการผสมวงตามยุคคลาสสิก ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่จะเน้นที่รูปแบบการประพันธ์เพลงมากกว่าและในยุคนี้เริ่มมีวงดนตรีผสมผสานรูปแบบใหม่ซึ่งเป็นรูปแบบวงดนตรีที่ผสมผสานระหว่างแอฟริกา ตะวันตก อเมริกาและยุโรป ที่เรียกว่า วงดนตรีแจ๊ส (Jazz) เครื่องดนตรีที่ใช้ในวงมักประกอบด้วย ทรัมเป็ต คลาริเน็ต ทรอมโบน ทูบา และกลองประเภทต่างๆ เป็นต้น
1.ให้เรียงลำดับยุคสมัยต่างๆของดนตรีจากยุคใหม่ไปยุคเก่า
2.ให้อธิบายลักษณะสำคัญของดนตรียุคคลาสสิค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น