สุนทรียศาสตร์ของดนตรี
คำว่า "สุนทรียศาสตร์"
ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า "Aesthetics" มาจากภาษากรีกว่า
"Aistheticos" ซึ่งแปลว่า รู้ด้วย ผัสสะ และคำว่า
ผัสสะนี้ หมายถึงการสัมผัสรู้หรือหยั่งรู้สุนทรียะหรือความงามอย่างเข้าใจ
กล่าวโดยสรุปคือ คำว่า สุนทรียศาสตร์ เป็นเนื้อหาว่าด้วยการศึกษาเรื่อง มาตรฐานของความงามในเชิงทฤษฎีอันเกี่ยวกับประสบการณ์ทางสุนทรียภาพ
กฏเกณฑ์ทางศิลปะ
สุนทรียศาสตร์นับเป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาในส่วนที่เกี่ยวกับการแสวงหาคุณค่า
ในสมัยก่อนวิชานี้เป็นที่รู้จักกันในรูปแบบของวิชาทฤษฎีแห่งความงามหรือ
ปรัชญาแห่งรสนิยม ในทางปฏิบัติจริงนั้น
ศิลปินใช้ธาตุ 4 อย่าง เป็นองค์ประกอบในการสร้างงานศิลปะ ซึ่งธาตุทั้ง 4
อย่างนั้นได้แก่
1. สื่อ (Media) เช่น
ศิลปะทางดนตรีใช้ เสียง เป็นสื่อ
2. เนื้อหา (Context) เช่น
ศิลปะทางดนตรีใช้ สเกลเสียง โหมดเสียง
สังคีตลักษณ์หรือไวยากรณ์เพลงและเนื้อร้องที่เป็นเนื้อหาของดนตรี
3. สุนทรียธาตุ (Aesthetical elements) ซึ่งมี 3 อย่างคือ ความงาม (Beauty) ความน่าเพลิดเพลินเจริญใจ
(Picturesqueness) และความเป็นเลิศ เช่น
ศิลปะทางดนตรีใช้สังคีตลักษณ์ในกระบวนแบบต่างๆ เป็นสุนทรียธาตุ
4. ศิลปินธาตุ (Artistic elements) หมายถึง
ความในใจ หรือประสบการณ์เดิม หรือความใฝ่ฝันหรือความเฉลียวฉลาดเฉพาะตัว
ที่ศิลปินแต่ละคนนำออกมาสอดแทรกไว้ในชิ้นงานของตนเอง อย่างเช่น
สังคีตกวีนำทำนองเพลงพื้นบ้านของชนชาติตนสอกแทรกไว้ในเพลงคลาสสิก เป็นต้น
บทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเพลงในโบสถ์ ได้แต่งขึ้นถูกหลักเกณฑ์ตามหลักสุนทรียศาสตร์ของดนตรี เพื่อจุดประสงค์ในการโน้มน้าวจิตใจผู้ฟังให้นิยมเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา
การสร้างชิ้นงานศิลปะดนตรีของสังคีตกวีต้องใช้ "เสียง" (tone) เป็นสื่อ แม้ว่าตามความเป็นจริงนั้นเสียงย่อมไม่อาจอธิบายความให้ผู้ฟังนึกเห็น "ภาพ" ที่ชัดเจนได้ แต่ความไม่ชัดเจนของภาพนี้เองเป็นสื่อกระตุ้นให้ผู้ฟังจินตนาการตามเสียงที่ได้ฟังจนเกิดอารมณ์คล้อยตามและปฏิกิริยาสนองตอบได้อย่างเต็มที่ ตามแต่ถนัด ความสนใจ พื้นฐานความรู้ และประสบการณ์ด้านดนตรีของแต่ละบุคคล ทั้งนี้เป็นเพราะเสียงของดนตรีมีส่วนประกอบสำคัญ คือ จังหวะ ทำนอง เสียงประสาน ลีลาสอดประสาน และกระบวนแบบของดนตรี รวมกันเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว เสียงดนตรีจึงมีพลังและความคล่องตัวที่จะเป็นสื่อกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังได้อย่างดีเยี่ยม
การรับรู้ความงามหรือสุนทรียะของดนตรี
ดนตรีเป็นสุนทรียะหรือที่เรียกกันว่า
ความงาม ความไพเราะ
เป็นเรื่องของนามธรรมยากที่จะอธิบายให้เข้าใจด้วยภาษาเพราะแต่ละคนจะมีรสนิยมในเรื่องของความงามที่ต่างกัน
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคล
ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับจะมีอิทธิพลต่อความชอบ ความรัก ความไพเราะ ความงาม
ที่เกิดขึ้นในแต่ละคน
ถึงแม้ว่าสุนทรียะทางดนตรีเป็นเรื่องนามธรรมเกิดขึ้นจำเพาะตัวบุคคลแต่เราสามารถสร้างประสบการณ์ให้เกิดการเรียนรู้ได้
ขั้นตอนในการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ทางสุนทรียะที่ควรคำนึงถึง คือ
1.
ความตั้งใจจดจ่อ
ประสบการณ์ทางสุนทรียะต้องผนวกความตั้งใจจดจ่อต่อศิลปะ หรืออาจจะพูดอีกแง่หนึ่งว่าต้องมีความศรัทธาต่องานศิลปะ ความตั้งใจจดจ่อหรือความศรัทธามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเข้าถึงงานศิลปะ และในทำนองเดียวกันความไม่ตั้งใจไร้ศรัทธาเป็นการปิดกั้นสุนทรียะของศิลปะตั้งแต่แรกเริ่ม การฟังดนตรีด้วยความตั้งใจจดจ่อ ฟังด้วยความศรัทธา โอกาสที่จะตอบสนองต่อเสียงดนตรีที่ได้ยินมีสูงทั้งทางร่างกายและทางความรู้สึก การที่ได้ยินเสียงดนตรีตามภัตตาคารต่าง ๆ ในระหว่างการรับประทานอาหารหรือเสียงดนตรีในงานเทศกาลต่าง ๆ เสียงดนตรีเหล่านั้นได้ยินผ่าน ๆ หูเราไปโดยมิได้ตั้งใจฟัง ซึ่งไม่สามารถสร้างความงามทางสุนทรียะให้เกิดขึ้นได้ สุนทรียะทางศิลปะเน้นความรู้สึกทางจิตมากกว่าความรู้สึกทางกาย
2.
การรับรู้
ประสบการณ์ทางสุนทรียะต้องอาศัยการรับรู้
การรับรู้ เป็นความรู้ที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นๆ คืออะไร คุณภาพดีไหม
และมีความเกี่ยวพันกันอย่างไร เป็นเรื่องของความรู้ไม่ใช่เรื่องของความจำหรือการจินตนาการ
การรับรู้เป็นการรวบรวมความรู้สึกทั้งภายนอกและภายในที่มีผลต่อสิ่งเร้า
แล้วเอามาสร้างเป็นความคิดรวบยอดต่องานศิลปะนั้น ๆ
ซึ่งสามารถแยกออกเป็นขั้นตอนได้ว่าเป็นความรู้สึก การรับรู้
และการหยั่งรู้หรือการสร้างมโนภาพ
3.
ความประทับใจ
ประสบการณ์ทางสุนทรียะต้องอาศัยความกินใจหรือประทับใจในการสร้างประสบการณ์ทางสุนทรียะนั้น
อารมณ์ที่กระทบต่องานศิลปะสามารถแยกออกเป็นสองขั้นตอนด้วยกันคือ
สภาพของจิตที่เปลี่ยนไปกับความรู้สึกที่สนองต่อจิต ซึ่งเกิดขึ้นตามในลำดับต่อมา
เช่น ความดันเลือดในร่างกายเปลี่ยนแปลงให้หน้าแดง หน้าซีด การหายใจถี่แรง
หรือการถอนหายใจ ความรู้สึกโล่งอกหรืออัดแน่น รู้สึกง่วงนอนหรือกระปรี้กระเปร่า
สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้สึกที่มีผลมาจากแรงกระทบทางอารมณ์ทั้งสิ้นความกินใจต่อเหตุการณ์และเสียงที่ได้ยิน
ทั้งเหตุการณ์และเสียงที่กินใจจะจารึกจดจำไว้ในสมอง ถ้าโอกาสหวนกลับมาอีก
ความกินใจที่เคยจดจำไว้ก็จะปรากฏขึ้นในความรู้สึกอีก
การที่เราเคยได้ยินเสียงดนตรีในงานศพของคนที่เราเคารพรักและหวงแหน
หรือในขณะที่เราอยู่ในอารมณ์เศร้า
เรามักจะจำเหตุการณ์วันนั้นและเสียงเพลงที่ได้ยินอย่างแม่นยำ
4.
ความรู้
ประสบการณ์ทางสุนทรียะต้องอาศัยความรู้
การเรียนรู้ของคนอาศัยประสบการณ์ สุนทรียะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์
ความรู้ความเข้าใจเป็นประสบการณ์ที่สามารถแยกแยะหรือวิเคราะห์
การนำมาปะติดปะต่อหรือการสังเคราะห์การสรุปรวบยอด
การจัดหมวดหมู่หรือแม้การประเมินผล สิ่งเหล่านี้อาศัยประสบการณ์ ความรู้
ความเข้าใจ เป็นตัวสำคัญ
5.
ความเข้าใจวัฒนธรรม
ประสบการณ์ทางสุนทรียะต้องอาศัยความเข้าใจวัฒนธรรมที่เป็นองค์ประกอบของศิลปะนั้น
ๆ เพราะศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการที่เราเข้าใจวัฒนธรรมเป็นผลให้เราเข้าใจศิลปะอีกโสตหนึ่งด้วยเพราะ
ศิลปะของชนกลุ่มใดย่อมเหมาะกับชนกลุ่มนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น