ดนตรีไทย โดย รศ.ดร.มานพ วิสุทธิแพทย์
ระบบเสียงของเครื่องดนตรีไทย
ระยะห่างของเสียงแต่ละเสียงจะเลียงกันตามลำดับ โดยมีระยะห่างเท่าๆกันใน 1 ช่วงคู่
8 จะมีทั้งหมด 7 เสียง
รศ.ดร.มานพ วิสุทธิแพทย์ ได้กล่าวว่า บันไดเสียงในระบบดนตรีไทยเป็นแบบPentatonic
scale คือ
บันไดเสียง 5 เสียง โดยเสียงทั้ง 5 เสียงจะประกอบไปด้วย 3 เสียงเรียงติดต่อกัน
แล้วข้าม 1 เสียง และมีอีก 2 เสียงเรียงติดต่อกันอีก เป็นระบบแบบนี้เสียงต่ำสุดของกลุ่มโน้ต 3 ตัวติดกันเป็นขั้นที่ 1 ของบันไดเสียง
และเสียงอื่นๆก็เรียงขึ้นไปตามดำดับ
การกำหนดโน๊ตบนเครื่องดนตรีไทยนั้น
จำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักการของดนตรีไทยในเรื่อง ทาง
ซึ้งก็หมายถึงระดับเสียงของบันไดเสียง
การกำหนด ทาง
บนเครื่องดนตรีไทยนั้น ใช้การกำหนดตามระดับเสียงของเครื่องดนตรีเป็นหลัก
เครื่องดนตรีที่ใช้กำหนดระดับเสียง คือ เครื่องเป่า ที่ใช้บรรเลงในวง
โดยกำหนดระดับเสียงที่เครื่องเป่าบรรเลงได้สะดวก
ทางที่ใช้บรรเลงในวงดนตรีไทยมีทั้งหมด 7 ทาง ดังนี้
1.ทางเพียงออล่าง เสียงที่ 1
ของบันไดเสียงในทางนี้ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่ 3 และ 10
(โดยนับจากเสียงต่ำไปเสียงสูง) เสียงที่ 1 ขอทางนี่ตรงกับเสียงต่ำสุดของซอด้วง
ทางนี้จึงเป็นทางที่ซอด้วงบรรเลงได้สะดวกที่สุด และขลุ่ยเพียงออก็บรรเลงในทางนี้ได้สะดวกเช่นกัน ดังนั้นทางในดนตรีไทยจึงคำนึงถึงความสะดวกในการบรรเลงตามธรรมชาติเป็นหลัก 2.ทางใน เสียงที่ 1 ของบันไดเสียงในทางนี้
ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่ 4 และ 11ทางนี้เป็นทางที่ปี่ในบรรเลงที่สะดวกที่สุด
วงปี่พาทย์ไม้แข็งซึ่งมีปี่ในเป็นเครื่องเป่าประจำวงมักจะบรรเลงในทางนี้ 3.ทางกลาง สูงกว่า 1 เสียง เสียงที่ 1
ของบันใดเสียงในทางนี้ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลุกที่ 5 และ 12
ทางนี้เป็นทางที่ปี่กลางบรรเลงได้สะดวกที่สุด ปี่ในและปี่กลางเป็นเครื่องเป่าในตะกุลเดียวกัน
มีระบบนิ้วหรือการการไล่เสียงที่เหมือนกัน
ต่างกันที่ปี่กลางมีขนาดเล็กกว่าและทีเสียงสูกกว่า
4. ทางเพียงออบน เสียงที่ 1 ของบันไดเสียงในทางตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่
6 และ ทางนี้ทั้งขลุ่ยเพียงออและซออู้บรรเลงได้สะดวกที่สุด
จะเห็นว่าเสียงต่ำสุดของขลุ่ยเพียงออและซออู้ที่เทียบเสียงแล้วตรงกับเสียงที่
1 ของทางนี้
5. ทางนอก เสียงที่ 1 ของบันไดเสียงในทางนี้ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ ลูกที่ 7 และ 14 ทางนี้เป็นทางที่ปี่นอกบรรเลงได้สะดวกที่สุด ปี่นอกมีระบบนิ้วเช่นเดียวกับปี่ในและ ปี่กลาง
แต่ปี่นอกมีระดับเสียงสูงกว่าปี่กลาง
6. ทางกลางแหบ เสียงที่ 1 ของบันไดเสียงในทางนี้ตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่
1 , 8 และ 15 ทางกลางแหบนี้ปี่กลางก็บรรเลงได้สะดว
7. ทางชวา เสียงที่ 1 ของบันไดเสียงในทางตรงกับลูกฆ้องวงใหญ่ลูกที่
2, 9 และ 16 ทางนี้สะดวกในการบรรเลงเครื่องสายปี่ชวา
ซึ่งซออู้ต้องเทียบสายเปล่าสายทุ้มให้ตรงกับเสียงที่ 1 ของทางนี้
และสายเปล่าสายทุ้มของซอด้วงตรงกับสายเปล่าสายเอกของซออู้
ทางทั้ง 7
นี้จะมีคู่ทางที่มีความสัมพันธ์กันเรื่องระดับเสียง คือ
- ทางเพียงออล่างกับทางเพียงออบน
- ทางในกับทางนอก
- ทางกลางกับทางกลางแหบ
โดยในแต่ละคู่ความห่างของระดับเสียงจะห่างกัน เป็นระยะคู่ 4 นอกจากทางตามการ
สะดวกในการบรรเลงแล้ว
ยังมีทางตามลักษณะวงที่ใช่ในการบรรเลงอีก
และการกำหนดเส๊ยงโด
บนเครืองดนตรนั้นก็ยึดตามความสัมพันธ์ของทางดังกล่าวไปแล้ว ซึ่งสามารถแสดงให้เห็นดังนี้
1.วงเครื่องสายและวงมโหรี เป็นวงดนตรีที่จัดอยู่ในทางเดียวกัน เครืองดนตรีที่
จะต้องคำนึงถึงความสะดวกในการบรรเลง
คือขลุ่ยเพียงออ
ซอด้วงและซออู้ โดยวประเภทนี้จะ
สะดวกในการบรรเลงทางเพียงออทั้ง2ทางคือ
ทางเพียงออนและทงเพียงออล่างโดยมีทาง
เพียงออบนเป็นหรัก ดังนั้น โด
ซึ่งเป็นเสียง Tonic ของทางเครื่องสายและทางมโหรีจึงตรงควร
ตรงกับเสียงที่1
ของทางเพียงออบนซึงเมือนเทียบกับฆ้องวงใหญ่ตรงกับลูกฆ้องลูกที่6และ13
2.วงปี่พาทย์ไม้แข็งเครืองคู่ มีทั้งปี่ในและปี่นอกบรรเลงร่วมในวง แสดงวงปี่ในและปี่
นอกก็บรรเลงได้สะดวกในทางปี่ใน
และในทางเดียวกันปี่ในก็บรรเลงสะดวกในทางของปี่นอก
แม้ปัจจุบันวงปี่พาทย์เครืองคุ่จะนิยมมีแต่ปี่ในอยางเดียว แต่ในบางทบเพลงอยู่ในทางปี่ใน คือ ทาง
ในบางบทเพลงอยู่ในทางของปี่นอก คือ ทางนอกดังที่กล่าวแล้วว่า ทางในกับทางนอกเป็นคู่ที่สัมพันธ์กัน
โดยยึดทำนองนอกเป็นทางหลักกับฆ้องวงใหญ่แล้วตรงกับลูกฆ้องลูกที่ 7 และ 14
3. วงเครื่องสายปี่ชวา
วงนี้ไม่มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีผสมอยู่ และทางของวงนี้ก็ไม่มีคู่สัมพันธ์ ดังนั้น โด ของทางเครื่องสายปี่ชวาเมื่ออเทียบกับฆ้องวงใหญ่แล้ว ตรงกับลูกฆ้องที่ 2 , 9 , และ 16
4. วงปี่พาทย์
ใช้ปี่กลาง เสียงโด จะตรงกับทางกลางแหบ
เพราะทางกลางแหบเป็นทางหลักและทางกลางเป็นทางคู่กัน
ดังนั้นเสียงโด
เมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีแล้วจึงมี 2 โด คือ โด ของวงมโหรี หรือ โด ของขลุ่ย
และโด ของปี่พาทย์ไม้แข็ง หรือ โดของปี่
ดนตรีไทยเรามีทางหรือบันไดเสียงทั้งหมด 2 ทาง คือ
ทางตามลักษณะวง และ ยังมีทางอีกประเภทหนึ่ง คือทางตามลักษณะเพลง
ทางตามลักษณะบทเพลง คือ
บันไดเสียงของบทเพลงนั้นๆบันไดเสียงของบทเพลงก็เป็นบันไดเสียง 5 เสียง
แต่ทางตามลักษณะบทเพลงมิได้คำนึงถึงความสะดวกในการบรรเลง แต่คำนึงถึงว่า บทเพลงนั้นๆ
ควรบรรเลงในบรรไดเสียงใดแล้วมีความไพเราะ
ความเหมาะสมกับประเภทของบทเพลง
1. เพลงสำเนียงเขมร เช่น
เขมรพวง เขมรไทรโยค เสียงขั้นที่ 1 ของบันไดเสียงตรงกับเสียงฟา ดังนั้นบันไดเสียงของเพลงสำเนียงเขมรจึงเป็น ฟ ซ ล
ด ร
2. เพลงสำเนียงลาว เช่น เพลงลาวดวงเดือน ลาวดำเนินทราย
ทางหรือบันไดเสียงของเพลงตรงกับทางตามลักษณะวง ดังนั้น
บันไดเสียงของเพลงลาวจึงเป็น ด ร
ม ซ ล
3. เพลงมอญ เช่น เพลงราตรีประดับดาว เพลงสุดสงวน
เป็นเพลงในบันไดเสียง ท ด ร ฟ ซ
และมีการเปลี่ยจากบันไดเสียงจาก
ท ด ร
ฟ ซ เป็น ฟ ซ ล
ด ร ทั้งนี้บันไดเสียง ท ด ร
ฟ ซ เป็นบันไดเสียงหลัก
4. เพลงหน้าพาทย์
ส่วนใหญ่อยู่ในบันไดเสียง ซ ล
ท ร ม
จากการเปรียบเทียบบันไดเสียงตามลักษณะเพลงในดนตรีไทยกับบันไดเสียงในดนตรีสากลนั้น
ทำให้พบว่ามีความน่าจะเป็นของโหมดเกิดขึ้นในดนตรีไทย
ซึ่งก็ยังไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นโหมดหรือไม่ ซึ่งทางผู้จัดทำรายงานจะขอเสนอแนวคิดไว้ดังนี้
บันไดสเยงของเพลงไทย เป็นแบบ Pentatonic Scale คือ มี 5 เสียงในบันไดเสียงแต่ไม่ได้หมายความว่า
ในการบรรเลงจะใช้แค่โน้ต 5 ตัวโน้ตในการบรรเลง หรือ เครื่องดนตรีไทยมีแค่ 5 เสียงเท่านั้น อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่า
ดนตรีไทยมีโน้ตทั้งหมด 7 เสียง
และระยะห่างของแต่ละเสียงมีระยะห่าง 1 เสียงเต็มเท่ากัน
ถ้าเราบรรเลงเพลงแขกบรเทศ สองชั้น
ก็จะพบว่าเพลงนี้อยู่ในบันไดเสียง โด คือ ด ร ม ซ ล
ตามโน้ตดังนี้
ท่อน 1
_ _ _ซ
|
_ ล ล ล
|
_ _ _ด
|
_ ล ล ล
|
_ ซ ซ ซ
|
_ ล_ ซ
|
_ _ _ม
|
_ ม _ม
|
_ล ซ ม
|
ซ ม ร ด
|
ด ด _ ร
|
ร ร _ ม
|
_ ซ _ ล
|
_ ซ _ ม
|
ม ม _ ร
|
ร ร _ ด
|
เราจะพบว่าโน้ตตัวแรกของเพลงคือ
ซอล และ จบลงด้วยโน้ตคือ โด
ก็เป็นการจบเพลงแบบสมบูรณ์ตามหลักทฤษฎีดนตรี คือ จบแบบเพอร์เฟค
จบลงด้วยโน้ตโทนิค ( Tonic )
แต่ในบางเพลงที่พบ โน้ตตัวแรกเป็นโน้ตเดียวกันกับโน้ตจบ แต่เพลงนั้นไม่ได้อยู่ในบันไดเสียงนั้น เช่น
เพลงแขกต่อยหม้อ อยู่ในบันไดเสียง โด คือ
ด ร ม ซ ล แต่โน้ตตัวแรกของเพลงคือ เร และจบด้วย เร ดังนี้
สามชั้นท่อน 1
_ _ _ร
|
_ _ _ม
|
_ _ _ฟ
|
_ _ _ซ
|
_ ล _ซ
|
_ ฟ ม ร
|
ด ร ม ฟ
|
_ ซ _ม
|
_ _ __
|
_ _ __
|
_ ด ร ม
|
_ฟ _ซ
|
_ร ร ร
|
_ม ฟ ซ
|
ล ซ ฟ ซ
|
ล ท ซ ล
|
_ _ __
|
_ _ _ด
|
_ _ _ร
|
_ _ _ฟ
|
_ _ __
|
ซ ฟ ม ร
|
ม ร ด ร
|
ม ฟ ซ ล
|
_ _ __
|
ร ด ล ซ
|
_ _ __
|
ด ล ซ ฟ
|
_ _ __
|
ซ ฟ ม ร
|
ด ร ม ฟ
|
_ ม_ร
|
ซึ่งสามารถอธิบายได้ตามหลักทฤษฎีทางสากลว่า
โหมดต่างๆขึ้นอยู่กับฟินาลิสหรือโน้ตจบ ( Finalis ) และช่วงเสียง
ฟินาลิสเป็นระดับเสียงหลักแลโน้ตตัวสุดท้ายของการจบทำนอง เทียบได้กับโน้ตโทนิก ( Tonic ) ส่วนช่วงเสียงก็คือระยะห่างจากตัวโน้ตหนึ่งไล่ขึ้นไปตามลำดับอีก
7 ตัวเป็นระยะ 1 ช่วงคู่แปด
และเมื่อดูตัวอย่างจากโหมดต่างๆในดนตรีสากลนั้น จะเห็นได้ว่าใน 1 โหมดนั้น มีทั้งบันไดเสียงเมเจอร์ ( Major Scale ) และบันไดเสียงไมเนอร์
( Minor Scale ) อยู่รวมกัน
ถ้าเรามองผิวเผินก็จะไม่พบว่าดนตรีไทยอาจจะมีโหมดได้เช่นเดียวกันกับดนตรีสากลโดยเฉพาะเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตี
เนื่องจากเราไม่สามารถเห็นถึงความแตกต่างในระดับเสียงของเพลงที่เราบรรเลงอยู่ เพราะเครื่องดนตรีประเภทตีจะถูกกำหนดเสียง หรือ
เทียบเสียงไว้ตายตัวอยู่แล้ว
ฉะนั้นหากต้องการหาความแตกต่างที่ชัดเจนว่าดนตรีไทยมีโหมดหรือไม่
สามารถสังเกตได้จากเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายเป็นหลัก โดยเฉพาะประเภทสี คือพวกซอต่างๆนั่นเอง
สังเกตได้ง่ายๆว่าเมื่อเวลานักดนตรีสีซอเพลงแขกต่อยหม้อ ก็จะมีโน้ต ฟา
หรือ ที ออกเป็นครึ่งเสียงเพื่อให้เป็นไปตามสำเนียงของเพลง
ซึ่งอาจจะเป็นได้ว่าดนตรีไทยนั้นมีโหมด
แต่แฝงอยู่เพลงที่มีสำเนียงภาษาต่างๆนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น