ประวัติคีตกวีดนตรีสากล
1.จิอะซิโน
รอสชินี (Gioacchino Rossini,1792-1868)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียน
เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1792 ที่เมืองเปซาโร (Pesaro) เรียนดนตรีครั้งแรกกับพ่อและแม่ซึ่งพ่อเป็นผู้เล่นฮอร์น และทรัมเปต ส่วนแม่เป็นนักร้องที่มีเสียงใสต่อมาจึงได้เรียนการประพันธ์ดนตรีแบบเคาน์เตอร์พอยท์
อย่างจริงจังกับTesei และ Mattei ที่เมืองโบโลญา
(Bolongna) รอสชินีมีชื่อเสียงจากการประพันธ์โอเปร่า
และโอเปร่าชวนหัวมีแนวการแต่งเพลงแบบค่อย ๆ พัฒนาความสำคัญของเนื้อหาดนตรีทีละน้อยไปจนถึงจุดสุดยอดในที่สุด
ผลงานที่มีชื่อเสียง
ผลงานโอเปร่าของรอสชินีได้แก่ La Scala di Seta, La Gazza Ladra, La Cenerentola, Semiramide, The Baber of Seville และ William Tell
2.ฟรานช์
ชูเบิร์ท (Franz Schubert,1797-1828)
ผู้ประพันธ์เพลงชาวออสเตรีย
เกิดเมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ 1797 มีชีวิตอยู่ในเวียนนาจนกระทั่งถึงแก่กรรม
เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนค.ศ. 1828 พ่อชื่อฟรานช์ ธีโอดอร์ ชูเบิร์ท (Franz
Theodor Schubert) แม่ชื่อมาเรีย เอลิซาเบ็ธ วิทซ์ (Maria
Elisabeth Vietz) พ่อมีอาชีพเป็นครูและเป็นนักเชลโลสมัครเล่นที่มีฝีมือดีคนหนึ่งและพ่อเป็นคนแรกที่เป็นผู้ปลูกฝังนิสัยทางดนตรีให้แก่ชูเบิร์ทขณะที่ชูเบิร์ทมีอายุได้
5 ขวบ พ่อก็เริ่มสอนวิชาเบื้องต้นให้ พออายุได้ 6 ขวบ
ก็เข้าโรงเรียนประถมที่พ่อของเขาสอนอยู่ และก็ได้เริ่มฝึกหัดเปียโนบ้างเมื่ออายุ 8
ขวบพ่อก็สอนไวโอลิน และทำการฝึกซ้อมให้อย่างสม่ำเสมอ
ในไม่ช้าเขาก็สามารถเล่นเพลงดูเอท (Duet) อย่างง่าย ๆ
ได้อย่างดี ตลอดช่วงชีวิตสั้น ๆ ของชูเบิร์ทเพียง 31 ปี
แทบไม่เคยได้รับการยกย่องในฐานะผู้ประพันธ์เพลงแต่อย่างใดเขาได้ทิ้งผลงาน ซิมโฟนี
8 เพลง สตริงควอเตท 19 เพลงเปียโนโซนาต้า 21 เพลง และอื่น ๆ อีกกว่า 600
ผลงานที่มีชื่อเสียง
Symphony No.5 in B flat:First movement 1816, Great C
Major Symphony, Unfinished Symphony (ชูเบิร์ทยังประพันธ์ไม่เสร็จเพราะถึงแก่กรรมก่อน),
String Quartet No. 13 in A minor : Second
movement 1823, Rosam under : incidentat Music(ใช้ประกอบการแสดงบัลเลย์)
3. อันโตนีโอ วีวัลดี (Antonio Vivaldi)
ตำนานแห่งนักดนตรีเพลงคลาสสิคชาวอิตาลี
เป็นหนึ่งในคีตกวีคนสำคัญในสมัยบาโรก เกิดเมื่อ 4 มีนาคม พ.ศ.2221 (ค.ศ.1678 ) ที่เมืองเวนิชและเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 28
กรกฎาคม พ.ศ.2284 ที่กรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย อายุรวม 63 ปี อันโตนิโอ วิวัลดี มีชื่อเล่นว่า
"นักบวชแดง" (Red Priest) ทั้งนี้เพราะว่าเคยบวชเป็นพระอยู่ 1 ปี และมีผมสีแดง แต่เนื่องจากสุขภาพไม่ดี จึงลาบวชจากพระกลับสู่ฆราวาสเหมือนเดิมในปี
ค.ศ. 1704 วิวัลดีได้รับการฝึกฝนด้านดนตรี โดยบิดาของเขา แต่ไม่เลิกอาชีพทางดนตรี เขาเป็นครูสอนดนตรีในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งมีเด็กจำนวนมากกว่า 6,000
คนอาศัยอยู่ วิวัลดีเขียนเพลงคอนแชร์โตไว้จำนวนมากกว่า 400 เพลงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกอบรมเด็กกำพร้าให้มีความสามารถด้านดนตรี
นอกจากเพงคอนแชร์โตจำนวนมากแล้ว
วิวัลดียังได้สร้างผลงานประเภทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ไว้หลายประเภท
ได้แก่ โซนาตา 90 บท ซินโฟเนีย 20 บท
อุปรากร 40 บท
จุดเด่นการประพันธ์เพลงของวิวัลดีก็คือ
เป็นผู้ที่นำเอาความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันมาใช้ในบทเพลง ได้แก่ การนำความแตกต่างของความดัง-เบามาใช้ การเปลี่ยนแปลงการประสานเสียง
การเปลี่ยนแปลงด้านลีลาจังหวะ ผลงานเพลงคอนแชร์โตกรอสโซ ชุด Four
Seasons เป็นงานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของเขา
4.โยฮันน์ เซบาสเตียนบาค (Johann Sebastian
Bach)
เป็นคตีกวีและนักออร์แกนชาวเยอรมันเกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2228 (ค.ศ.1685) ใน ครอบครัวนักดนตรีที่เมืองไอเซนนาค
บาคแต่งเพลงไว้มากมายโดยดั้งเดิมเป็นเพลงสาหรับใช้ในโบสถ์เช่น “แพชชั่น”บาคถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2293 ที่เมืองไลพ์ซิก
บาคเป็นนักประพันธ์ดนตรีสมัยบาโรคเขาสร้าง
ดนตรีของเขาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัย
บาคมีอิทธิพลอย่างสูงและยืนยาวต่อการพัฒนา ดนตรีตะวันตกแม้แต่นักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่
เช่น โมซาร์ท และเบโธเฟน ยังยอมรับบาคในฐานะ ปรมาจารย์ งานของบาคโดดเด่นในทุกแง่ทุกมุมด้วยความ
พิถีพิถันของบทเพลงที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองเสียงประสานหรือ
เทคนิคการสอดประสานท่วงทำนองต่าง ๆ
รูปแบบที่สมบูรณ์แบบ เทคนิคที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
การศึกษาค้นคว้าแรงบันดาลใจอันเต็มเปี่ยมรวมทั้งปริมาณของบทเพลงที่แต่ง ทำให้งานของบาคหลุดจากวงจรทั่วไปของงานสร้างสรรค์ที่ปกติแล้วจะเริ่มต้นเจริญเติบโตถึงขีดสุดแล้วเสื่อมสลายนั่นคือไม่ว่าจะเป็นเพลงที่บาคได้ประพันธ์ไว้ตั้งแต่วัยเยาว์หรือเพลง
ที่ประพันธ์ในช่วงหลังของชีวิตนั้นจะมีคุณภาพทัดเทียมกัน
5. ลุดวิก แวน บีโธเฟน (Ludwig Van
Beethoven)
บุรุษผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อันอัจฉริยะในเชิงดนตรี
เค้ามีแนวดนตรีที่แตกต่างจากแนวดนตรีทั่วไปในสมัยนั้น
จนออกมาเป็นแนวดนตรีคลาสิคที่ในสมัยนั้นยังไม่ได้มีผู้ใดรังสรรค์
และต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นแนวดนตรีที่แปลกแยก
แต่คีตกวีรายนี้มีความยิ่งใหญ่อีกอย่างหนึ่งอยู่ที่ความไม่ย่อท้อต่อเคราะห์กรรมที่ได้เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา
นั่นคืออาการทางประสาทหู จนถึงขั้นดับสนิท
บีโธเฟ่นผู้ที่ไม่เคยตายจากวงการดนตรีคลาสสิค
ได้สร้างเสียงเพลงอมตะประดับโลกของเราเอาไว้ให้งดงามถึงแม้หูของเขาจะหนวกสนิท บีโธเฟน เกิดที่กรุงบอนน์ (อดีตเมืองหลวงประเทศเยอรมนีตะวันตก) เมื่อปลายปี ค.ศ.1770 เป็นลูกชายของนักร้องประจำราชสำนักแห่งกรุงบอนน์ ชื่อว่า โยฮานน์ (Johann)
และแม่ชื่อว่า มาเรีย แมกเดเลน่า ( Maria Magdalena) มีชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก เพราะครอบรัวยากจน และมีพ่อเป็นนักร้องขี้เมา
ซึ่งได้พยายามปั้นบีโธเฟนให้เป็น “โมสาร์ท สอง” เพื่อหวังให้หาเงินเลี้ยงครอบครัว (บีโธเฟนเกิดหลังโมสาร์ท 15 ปี)บีโธเฟนน้อยได้ถูกพ่อขี้เมาบังคับให้ฝึกเรียนเปียโนที่ยาก ตั้งแต่วัยเพียง
วัย 4-5 ขวบ และถ้าเล่นไม่ได้จะถูกทำโทษ แต่ที่บีโธเฟนยังรักดนตรีอยู่
อาจจะเพราะคุณปู่ซึ่งเป็นนักร้องประจำราชสำนักที่ประสบความสำเร็จบีโธเฟน
ทำงาน(ครั้งแรก) เลี้ยงครอบครัวตั้งแต่อายุ 11 ขวบ
โดยทำงานเป็นนักออร์แกน ผู้ช่วยประจำราชสำนัก โดยในขณะนั้นเขามีความรู้เพียงชั้น ป.4 แต่ได้พยายามศึกษาเล่าเรียนดนตรีจนมีความสามารถด้านการประพันธ์เพลง
และบีโทเฟ่นได้เล่นเปียโนสดให้โสสาร์ท ฟังเป็นครั้งแรก และทำให้โมสาร์ทต้องตะลึง
ในวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น ที่กรุงเวียนนา และจากนั้นเพียง 2
สัปดาห์ต่อมา เขาต้องรีบกลับกรุงบอนน์ เพราะแม่ป่วยหนักและเสียชีวิต
และเขายังคงดูแลพ่อและน้องอีก 2 คนด้วยการทำงานหนักเช่นเดิมปี
ค.ศ.1792 บีโธเฟ่นได้มีโอกาสแสดงผลงานต่อหน้า
โยเซฟ ไฮเดน (Joseph Haydn) ปรมาจารย์ทางดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค
เดินทางกลับจากอังกฤษ ได้แวะเยี่ยมเยียนราชสำนักกรุงบอนน์
ทำให้ไฮเดนทึ่งในความสมารถและรับเขาเป็นศิษย์
และพากลับไปเรียนที่กรุงเวียนนาด้วยด้วยบีโทเฟ่นเป็นคนหนุ่มไฟแรงอารมณ์ร้อน หยิ่ง
และดื้อรั้น จึงก็ไม่พอใจการสอนของไฮเดน แต่ก็ยังเกรงใจอาจารย์ผู้อาวุโส
เขาจึงแอบย่องไปเรียนกับนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงหลายคนหลังจากจบการศึกษากับอาจารย์
ไฮเดนและอื่นๆ ในปี 1795 บีโธเฟ่นได้แสดงผลงานเพลงและเริ่มสร้างชื่อเสียงในฐานะนักประพันธ์ดนตรีอย่างเต็มตัว
ทำให้ผลงานเพลงยุคแรกของบีโธเฟน จะคล้ายคลึงกับดนตรีของไฮเดน และโมสาร์ท
แต่ยังคงมีกลิ่นอายของบีโธเฟนอยู่ ทำให้เขาได้รับการยอมรับจากสาธารณชนอย่างรวดเร็วผลงานของบีโธเฟนในช่วงแรกที่น่าสนใจ
คือ เปียโนทรีโอ 1 เปียโนโซนาตา 2 เปียโนโซนาตา
7 เปียโนโซนาตา 13 (Pathetique) เป็นต้น
บีโธเฟน เริ่มแต่งเพลงแหกกฎเกณฑ์ทางดนตรี และออกนอกรีตนอกรอยมากขึ้น จึงเกิดเป็นยุคโรแมนติก (Romantic Period)เขามีแนวความคิดเป็นนักปฏิวัติทั้งในด้านดนตรีและความคิดทางสังคม โดยสอดแทรก ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ของตนลงในดนตรี ซึ่งไม่ใช่วิสัยในยุคนั้น (ที่เรียกว่า Classical period) ดนตรีขั้นสูงคือรูปแบบทางศิลปที่สมบูรณ์ สูงส่ง และอยู่เหนือความเป็นมนุษย์ แต่สิ่งที่บีโธเฟนกำลังทำอยู่นั้นกลับเป็นการพลิกโฉมหน้าของโลกศิลปการดนตรี และทำให้นักวิชาการด้านดนตรี ต้องตั้งชื่อยุคของดนตรีขึ้นใหม่ ที่เรียกว่า ยุคโรแมนติก (Romantic Period)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น