หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 บทบาทของดนตรีสากลในการสะท้อนสังคม
ดนตรีในแต่ละยุคสมัย
เป็นเครื่องสะท้อนให้ผู้ฟังเห็นสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นๆ
และอาจเปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยอื่นๆ
ผลงานเพลงและดนตรีจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาสภาวะของสังคมในแต่ละยุคสมัยทั้งด้านค่านิยม
และความเชื่อดังนี้
ค่านิยมของสังคมในผลงานดนตรี ค่านิยม คือสิ่งที่สังคมยึดถือเป็นเครื่องช่วยตัดสินใจ
และกำหนดการกระทำของตนซึ่งมักจะเปลี่ยนไปตามกระแสความนิยมและตามสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ค่านิยมของสังคมที่ปรากฎอยู่ในบทเพลงจึงเปลี่ยนแปลงไปตามปี
พ.ศ. และตามสภาวะของระบบการปกครอง จารีตประเพณี และีวิถีชีวิต ตัวอย่างเช่น
เนื้อหาในบทเพลงต่างสมัยต่างสะท้อนค่านิยมของสังคมของตน ดังต่อไปนี้
1.ค่านิยมของสังคมในผลงานดนตรี
สมัยอดีต หนุ่มสาวนิยมเกี้ยวพาราสีกันด้วยการเขียนจดหมายรักโต้ตอบกัน สมัยปัจจุบัน
เกี้ยวพาราสีกันด้วยการส่งเสียงฝากรักผ่านโทรศัพท์มือถือ
สมัยอดีตผู้คนนิยมบทเพลงที่มีสำนวนภาษาไพเราะกินใจแบบบทกวี
สมัยปัจจุบันนิยมสำนวนแบบตรงไปตรงมาเหมือนคำพูดซึ่งไม่เน้นฉันทลักษณ์
2.
ความเชื่อของสังคมในผลงานดนตรี ความเชื่อต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในผลงานดนตรี
นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงสมัยปัจจุบัน มีทั้งที่ยังคงอยู่และทั้งที่เปลี่ยนไป
ตัวอย่างเช่น
2.1 นักแต่งเพลงพื้นบ้านในอดีตไม่บอกนามตนเอง
เพราะเชื่อว่าสวรรค์ ให้พรจึงแต่งได้
แต่นักแต่งเพลงในปัจจุบันพยายามโฆษณาประชาสัมพันธชื่อเสียงของตนอย่างเต็มที่
2.2 นักเทวศาสตร์เชื่อว่าดนตรีถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจจากสวรรค์ในคราวเดียวกันกับที่ให้มนุษย์มีเสียงพูด
แต่นักวิชาการดนตรีสมัยปัจจุบันเชื่อตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
2.3 พระในคริสต์ศาสนา
เชื่อว่าดนตรีสามารถยกระดับของบุคคลให้สูงขึ้นไปหาพระเจ้าปัจจุบันก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่
2.4 ชาวพุทธเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นหนทางตรัสรู้จากเสียงพิณ
3 สาย ที่พระอินทร์ดีดถวาย ซึ่งปัจจุบันก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่
2.5 ชาวไทยในภาคใต้เชื่อว่าเสียงปี่กาหลอ
สามารถส่งดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สวรรค์
2.6 ชาวม้งเชื่อว่าเสียงแคนจะช่วยส่งดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับไปพบญาติ
ซึ่งล่วงลับไปก่อน
2.7 ชาวไทยอีสานเชื่อว่าเสียงแคนเป็นพาหนะให้เทพเสด็จลงมาได้
2.8 บทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชสะท้อนความเชื่อทางศาสนาไว้หลายบทเช่น
ในเพลงแสงเทียนสะท้อนความเชื่อเรื่องการทำบุญไว้ให้มาก เพื่อเตรียมไว้ใช้ในภพหน้า
เป็นต้น
2.9 นักดนตรีพิธีกรรมเชื่อว่า
เครื่องดนตรีเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเก็บไว้ ใครแตะต้องอาจมีโทษอาจมีโทษถึงตาย
แต่นักดนตรีบางคนในปัจจุบันถือว่าเครื่องดนตรีเป็นเพียงของใช้งานเท่านั้น
3. ดนตรีสะท้อนความคิดของสังคม
ความคิดคือสิ่งที่นึกรู้ขึ้นในใจหรือความรู้ที่เกิดขึ้นภายในใจที่ก่อเกิดการแสวงหาความรู้ใหม่ต่อไปของบุคคล
ความคิดของสังคม หมายถึง
สิ่งที่กลุ่มคนนึกรู้ หรือเกิดความรู้ขึ้นร่วมกันอย่างต่อเนื่องตามระเบียบ กฎเกณฑ์
และมีวัตถุประสงค์สำคัญร่วมกัน ความคิดของสังคมที่ปรากฏอยู่ในผลงานดนตรีมีอยู่มากมายทั้งที่เป็นปรัชญา
คำสอน คำปลุกใจ การเล่าเหตุการณ์ คำปลอบประโลมหรืออุดมคติ เรียกได้ว่า
มีครบทุกรสแห่งวรรณกรรม คือ รสแห่งความรัก รสแห่งความขบขัน รสแห่งความเมตตา กรุณา
รสแห่งความโกรธเคือง รสแห่งความกล้าหาญ รสแห่งความโกรธเคือง รสแห่งความกล้าหาญ
รสแห่งความทุกข์-ความกลัว และรสแห่งความสันติสุข และเนื่องจากผู้คิดสร้างสรรค์ผลงานดนตรีมึถึง 4
จำพวกคือ
1. พวกที่เอาเหตุการณ์หรือเรื่องจริงมาแต่ง
เรียกว่า พวกอรรถกวี
2.
พวกที่คิดประดิษฐ์เรื่องหรือสาระขึ้นด้วยตนเอง เรียกว่า พวกจินตกวี
3. พวกที่จำเอาเรื่องที่ได้ยิน ได้ฟัง
จากคนอื่นมาแต่ง เรียกว่า พวกสุตกวี
4. พวกที่มีปฏิภาณไหวพริบ
นำความคิดที่เกิดฉับไวมาแต่ง เรียกว่า พวกปฏิภาณกวี
จึงทำกวีเหล่านั้นสร้างสรรค์ผลงานดนตรีที่สะท้อนความคิดของสังคมขึ้นมาได้อย่างหลากรสตามแนวคิดของกวีแต่ละพวกแต่ละคน
คำถามประจำบท ดนตรีสากลมีบทบาทในการสะท้อนสภาพสังคมไทยอย่างไรบ้าง
บทบาทของดนตรีสากลในการสะท้อนสังคม
ดนตรีเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งขึ้น
และได้เป็นเพื่อนทางจิตใจของมนุษย์มาช้านานแล้ว
คำถามที่ว่าศิลปะแขนงนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้
แต่ว่าอาศัยหลักฐานและข้ออิงทางมานุษยวิทยาแล้วก็จะกล่าวได้ว่า ดนตรีเริ่มมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์นานนักหนาแล้ว
มีหลักฐานว่าอารายธรรมของดนตรีในซีกโลกตะวันออกนั้น
เกิดขึ้นมาก่อนดนตรีในซีกโลกตะวันตก ประมาณ 2,000 ปี สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดดนตรีขึ้นครั้งแรก คือ “ความหวาดกลัว”
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ว่าการเกิดกลางวันหรือกลางคืน การผลัดเปลี่ยนของฤดูกาล
ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินไหว ฯลฯ
ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและความกังวลใจให้แก่มนุษย์ในยุคนั้นเป็นอันมาก
พวกเขามีความเข้าใจว่า ปรากฏการณ์ต่างๆเหล่านี้มีทั้งพระเจ้าที่ดีและร้ายอยู่ในตัว
ดนตรีมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์
โดยไม่จำกัดเพศ วัย ระดับการศึกษา หรือฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ดนตรีสำหรับบางคนอาจมีวัตถุประสงค์ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด
เพื่อความซาบซึ้งไปกับอารมณ์ของบทเพลง
บางคนต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังเพื่อเป็นนักร้อง นักดนตรี ฯลฯ การมีประสบการณ์ทางดนตรีในลักษณะต่างๆ
แต่ละคนจึงมีมุมมองเกี่ยวกับดนตรีในมิติที่แตกต่างกัน อาทิเช่น
มิติที่เป็นรูปแบบของศิลปะวัฒนธรรม มิติที่เป็นรูปแบบของความคิดและจินตนาการ
มิติที่เป็นรูปแบบของนันทนาการและการบันเทิง มิติที่เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง
มิติที่เป็นหลักสูตรการศึกษา มิติที่เป็นสุนทรียภาพ มิติที่เป็นสื่อธุรกิจ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
ข้อค้นพบจากการศึกษาวิจัยในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ผ่านมาสามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับชีวิตได้ชัดเจนมากขึ้น
มุมมองเกี่ยวกับดนตรีในมิติที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิต จึงกำลังเป็นที่สนใจ
มีการขยายผล นำไปประยุกต์ใช้ และค้นคว้าทดลองอย่างจริงจังในปัจจุบัน
ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับชีวิตมีประเด็นการศึกษา
การดำเนินชีวิตของคนไทยตลอดชีวิต
ต้องมีดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
ทั้งนี้เป็นไปตามความเชื่อและวัฒนธรรมหรือวิถีไทย ดนตรีจะมีส่วนเสริมสร้างความเข้มแข็ง
ความสุข ความสนุกสนาน เพื่อให้คลายจากความกลัว ความกังวน ความเหน็ดเหนื่อย
หรือความทุกข์ทั้งหลาย ดนตรีนับว่ามีคุณค่าต่อมนุษย์อย่างมากมาย
ดนตรีมีบทบาทในชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย
โดยเฉพาะคนไทยถ้าได้ยินเสียงดนตรีที่ไหนก็ตาม หมายความว่าที่แห่งนั้นจะต้องมีงานมหรสพ
ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานกุศล งานฉลองต่าง ๆ หรืองานศพ เช่น
พอเด็กเกิดมาก็จะมีการทำขวัญเดือน โกนผมไฟ ซึ่งถือว่าเป็นพิธีมงคลแก่ชีวิตเด็ก
ซึ่งผู้ใหญ่ต้องเป็นฝ่ายทำให้
และเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก็มีการโกนจุกซึ่งแสดงว่าเด็กเข้าสู่วัยที่โตแล้ว ในช่วงชีวิตต่อไปก็คือ
การอุปสมบทของชายก็มีการทำขวัญนาค นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมีอีกหลายงาน อาทิเช่น
การแต่งงาน การฉลองอายุ ฉลองครบรอบแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ เป็นต้น
กิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่ใช้ดนตรีประกอบทั้งสิ้น
เป็นการแสดงให้เกิดความสนุกสนานรื่นเริง มองดูศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นจะเห็นว่าการดำเนินชีวิตของคนไทยจะมีความสัมพันธ์กับดนตรีมาตลอด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น