วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

บัลเล่ต์ สมัยเรอเนสซอลส์

บัลเล่ต์สมัยเรอเนสซองส์ บทเพลงร้องของประชาชนคนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่ใช้บทเพลงของนักบวชหรือเพลงที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นบทเพลงที่เรียบง่ายกว่าเพลงร้องแบบ “Madrigal” ก็คือประเภทที่เรียกว่า Ballet (Fa-la) ซึ่งเป็นบทเพลงที่คล้ายกับเพลงเต้นรำประกอบด้วยการร้องเดี่ยวหลายๆเสียงที่มีผิวพรรณแบบ Homophonic การร้องเพลงแบบนี้มีลักษณะที่ตรงข้ามกับเพลงที่มีผิวพรรณเป็น Polyphony ตามแบบฉบับทั่วไปในยุค Renaissance นี้ เพลงทำนองเดียวที่ร้องซ้ำซากด้วยเนื้องร้องในบทต่างๆของกวีนิพนธ์ และใช้ลูกคอร้องด้วยคำว่า fa-la ซ้ำทุกๆ 1 คำกลอน บทเพลงแบบ Ballet ของยุคนี้เริ่มต้นขึ้นในประเทศอิตาลีก่อน ชาวอิตาเลียนเรียกบทเพลงประเภทนี้ว่า “balletto” เมื่อเผยแพร่เข้าไปในอังกฤษจึงเรียกสั้นๆว่า “ballet: แต่ที่นิยมกันมากคือเรียกว่าเพลง “fa-la-la” ด้วยเหตุที่เพลงแบบนี้จะมีลูกคู่ร้องว่า “fa-la-la” หรือำม่ก็ร้องด้วยวลีที่ปราศจากความหมายอื่นๆ เช่น “hey nonny nonny” หรือ “tan tan tarira” เป็นต้น บทเพลงชนิดนี้แพร่หลายมากในราวตอนปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 17 บทเพลงประเภท ‘Ballet” หรือ fa-la-la ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “Now is the month of Maying” (1595) ของ Thomas Morley ในขณะที่บทเพลงร้องแบบนี้แพร่หลายอยุ่ในอังกฤษ บทเพลงประเภทที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี (Instrumental Music) ก็มีความเข้มแข็งขึ้นและเป็นที่นิยมมากขี้น ทั้งการบรรเลงประกอบร้องและประกอบการแสดง โดยเริ่มมาตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่ 15 โดยกการดัดแปลงปรับปรุงมาจากเพลงร้องพื้นของ โดยบรรเลงแบบ Polyphonic ในช่วงศตวรรษที่ 16 บทเพลงบรรเลงก็มีความก้าวหน้าและทวีความสำคัญมากขึ้น มีการแต่งเพลงแบบนี้ขึ้นใหม่ โดยไม่ได้เลียนแบบเพลงร้องแต่อย่างใด และมีการกำหนดท่วงทำนองเฉพาะของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดด้วย เช่น มีการใช้ Harp sichord, Organ และ Lute เป็นต้น บทบรรเลงจำนวนมากได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง คนที่หลงใหลในวัฒนธรรมแบบนี้พยายามจะเรียนและฝึกฝนการเต้นรำให้เก่งจากครูเต้นรำมืออาชีพเพื่อความมีหน้ามีตาม การเต้นรำแบบราชสำนักจะมีการเต้นเป็นคู่ 1 ที่นิยมกันมากคือ การเต้นช้าๆ แบบที่เรียกว่า “pavanne” ในแบบอัตรา 2 จังหวะ เช่น 2/2 และ 2/4 เป็นต้น ที่มาของการเต้นแบบนี้ก็คือจากเมือง “Para” และเมือง “Padua” ของอิตาลี ส่วนการเต้นแบบ 3 จังหวะมักเป็นชนิดที่เรียกว่า “galliard” ซึ่งยังมีบทเพลงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เครื่องดนตรีสำคัญสมัยเรอเนสซองส์แบ่งออกเป็ฯประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีเสียงดัง สำหรับบรรเลงกลางแจ้ง เช่น แตร “ทรัมเป็ต” และประเภทเสียงนุ่มนวล สำหรับบรรเลงในอาคาร เช่น Lute ชนิดต่างๆและขลุ่ย Recorder วงดนตรีประกอบด้วยการบรรเลงเครื่องดนตรี 3-8 ชนิดในระดับเสียงตั้งแต่ Soprano จนถึง Bass

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น