วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Baroque period 1600 - 1750

ดนตรียุคบาโร้ค Baroque 1600-1750 สภาพทางสังคม ศิลปะแบบบาโร้คเกิดในระยะเวลาแห่งความรุ่งเรือง การประดับตกแต่ง ความหรูหรา และความสมบูรณ์แบบของศิลปะต่างๆ ระยะเวลาของดนตรียุคบาโร้คตกอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1600-1750 พิเศษระหว่างดนตรีใช้คำว่า “บาโร้ค” เพื่อกำหนดยุคของศิลปะในช่วงเวลานี้ ลักษณะของศิลปะช่วงนี้จะใช้การประดับตกแต่งให้เต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสีน้ำมัน การแกะสลักหิน และแม้แต่เสียงดนตรี ทั้งนักดนตรี จิตรกร ช่างปั้นและสถาปนิก ต่างก็ให้ความสนใจในการสร้างงาน ที่ประดิษฐ์ประดอยโดยสมบูรณ์ทั้งชิ้นงานของตน ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ การจัดฉากในการแสดงต่างๆ และงานศิลปกรรมอื่นๆ ศิลปินคนสำคัญๆ เช่น Bernini, Rubens และ Rembrandt ต่างก็ใช้วัสดุในการประดับตกแต่งส่วนละเอียดและขยายเนื้อหาของงานศิลปะของเขาโดยการใช้สีสันต่างๆกันบ้าง การประดับประดาให้เป็นส่วนลึกแบบสามชั้นบ้าง เพื่อให้ได้โครงสร้างที่สมบูรณ์แบบในผลงาน สไตล์หรือรูปแบบงานในลักษณะนี้สร้างความพึงพอใจให้แก่บุคคลชั้นสูงเป็นอย่างมาก เพราะเป็นประสงค์ของประชาชนคนที่สร้างในช่วงเวลานั้นก็คือ “การประสมประสานของศิลปะโดยรวม” (Total Integrates) ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ “พระราชวังแวร์ซายส์” ในราชสำนักฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นที่รวมของศิลปะทุกสาขาเอาไว้ด้วยกัน ทั้งภาพเขียน ภาพปั้น แกะสลัก สถาปัตยกรรม และเสียงเพลง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความฟุ่มเฟือย และอำนาจราชศักดิ์ บทเพลงแบบของบาโร้ค เกิดจากการสร้างงานของโบสถ์ในอันที่จะใช้เรื่องราวของอารมณ์ ความรู้สึก ที่แสดงออกแบบการละครมาใช้ในเพลงสวดเพื่อสร้างศรัทธา ความเชื่อ ความขลังของศาสนายิ่งขึ้นไปอีก ในยุคบาโร้คนี้แม้ว่าศิลปกรรมจะหรูหราฟู่ฟ่ามากก็ตาม แต่ในทางวิทยาการแล้วเป็นจุดแห่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยเลย เช่น งานของกาลิเลโอ (ดนตรี) Newton (แรงโน้มถ่วง) ฟรานซิส เบคอน ด้านปรัชญาก็มี ปรัชญาเมธี ที่ให้ความคิดความเห็นกว้างขวางเช่น จอห์น ลอค/เรอเน เดการ์ท/จิตรกรคนสำคัญ ได้แก่ แรมแบรนท์ รูเบน โฮการ์ช นักเขียนคนสำคัญ ได้แก่ จอห์น มิลตัน แดเนียล แดโฟ Gulliver Travel ฯลฯ วรรณกรรมในยุคนี้จะเป็นเรื่อง Satiro (ล้อเลียน) สังคมอันหรูหราฟู่ฟ่าของคนชั้นสูง ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปยังจมอยู่ในกอบทุกข์และการเอารัดเอาเปรียบ ในจุดต้นๆ ของสมัยบาโร้คนี้ คีตกวีได้เลิกใช้ Texture แบบ Polyphony ไปแล้วเป็นส่วนมาก แต่หันมาใช้บทเพลงที่มี Texture แบบ Monody/Molophony คือมีทำนองสำคัญเพียงทำนองเดียว แล้วมีแนวขับร้องเสียงต่ำเป็นตัวประกอบที่เรียกว่า Basso continuo ลักษณะของ polyphony ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างในดนตรีแบบ Fugue ที่บรรเลงด้วยคลาวิคอร์ท ฮาร์พซิคอร์ดและออร์แกน รวมทั้งประเภท Chrale และ Toccata ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้การประสานทำนอง (Counterpoint) บทเพลงที่ใช้ในศาสนาในลักษณะต่างๆกันได้แก่ บทเพลงแบบ Oratorio, Mass, Passion, Cantata ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปภายหลัง ลักษณะสำคัญที่ทำให้ดนตรีบาโร้คมีลักษณะเด่นก็คือ “ความตรงข้ามหรือการตัดกัน” (Contrasting) เช่น ด้านความเร็ว-ช้า ดัง-ค่อย การบรรเลงเดี่ยว-และทั้งวง ซึ่งจะพบได้ในบทเพลงประเภท Trio-Sonata, Concerto Grosso, Sinfonia และ Cantata ซึ่งจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไปเช่นเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น