รวบรวมข่าวสารดนตรีศึกษา ดนตรีวิทยา ดนตรีชาติพันธ์ การศึกษาทางมานุษยดุริยางควิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Classic Period 1725 - 1820
ยุคคลาสสิค
Classic (1725-1820)
การดนตรีในยุคคลาสสิค
ถ้าเราย้อนไปพิจารณาสังคมในยุคบาโร้คก็จะเห็นได้ว่าความเป็นอัจฉริยะของนักวิทยาศาสตร์อย่างกาลิเลโอและเซอร์ ไอแซค นิวตัน ได้เปลี่ยนแนวคิดและมุมมองของประชาชนในยุคนั้นไปอย่างสิ้นเชิง เพราะได้พากันหันมามองโลกในแง่ของเหตุผลและความจริงมากขึ้น จนกลายเป็นกลุ่มพลังเงียบที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในยุคถัดมา ความเปลี่ยนแปลงนั้นเริ่มต้นในราวกลางศตวรรษที่ 18 เมื่อความเชื่อในกลุ่มอำนาจการปกครองและศรัทธาในศาสนาเสื่อมถอยลงเพราะมีเหตุมาจากการเสนอแนวคิดเชิงปรัชญาของนักปรัชญาคนสำคัญๆ เช่น Voltaire (1694-1778) และ Deris Diderot (1713-1784) ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์อย่างสำคัญจนมีการขนานนามยุคนี้ว่า “ยุคแห่งการรู้แจ้ง” (Enlightenment age)
ประชาชนในยุคนี้มีศรัทธาในความก้าวหน้าและความมีเหตุผลมากกว่าการปฏิบัติตามระเบียบประเพณีที่เคยชินมาต่าก่อน เริ่มมีการต่อต้านอำนาจของบุคคลชั้นสูงและบรรดาเจ้านครต่างๆ ซึ่งเริ่มจะไม่แน่ใจในพลังอำนาจที่ตนเคยมีอยู่ แนวคิดของกลุ่มแห่งความรู้แจ้งเห็นจริงแสดงให้เห็นหลายประการ เช่น จักรพรรดิ Joseph II แห่ง Austria ที่ทรงสละราชบัลลังก์ในระหว่างปี 1780-1790 และยกเลิกระบบเจ้าขุนมูลนาย ปิดวัดและสำนักชีตลอดจนยกเลิกตำแหน่งขุนนางและบรรดาผู้ลากมากดีต่างๆจนหมดสิ้น โดยเฉพาะผุ้ที่ทำการต่างๆ อย่างผิดกฎหมายดดยใช้อำนาจในทางมิชอบได้มีการเปลี่ยนแปลงด้านพิธีกรรมทางศาสนาและประกาศิตต่างๆ เช่น การฝังศพแบบง่ายๆ ภายหลังกฎระเบียบนี้มีการปรับปรุงใหม่ทำให้เกิดมีพิธีฝังศพอย่างหรูหราเป็นระเบียบปฏิบัติมาจนปัจจุบันนี้ โดยเริ่มแรกเกิดขึ้นที่กรุงเวียนนาก่อนในปี 17991 แต่ถึงกระนั้นศพของ Mozart มหาคีตกวีแห่งยุค Classic ก็ยังถูกฝังอย่างไร้ศักดิ์ศรีและไร้ร่องรอยอยู่ดี
ในปี 1791 เกิดมีการต่อสู้ในสังคมและระหว่างประเทศอย่างขนานใหญ่ ในช่วง 70 ปี คือระหว่างปี 1750-1820 โดยมีสงครามอยู่ 7 ปี ได้แก่ การปฏิวัติในฝรั่งเศส สงครามกลางเมืองในอเมริกาและสงครามนโปเลียนทำให้ศูนย์กลางแห่งอำนาจเปลี่ยนจากบุคคลชั้นสูงและศาสนาจักรลงมาตกอยู่ในมือชนชั้นกลาง โดยนัยยะนี้เองที่ทำให้นโปเลียน โบนาปาร์ค กลายมาเป็นจักรพรรดิ์แห่งประเทศฝรั่งเศสไม่ได้ด้วยความฉลาดสามารถด้วยตัวของเขาเอง แต่เป็นเพราะการเกิดมาในชาติตระกูลผู้ครองนครและวิธีการสืบสันตตวงศ์
ในยุคนี้มีคำขวัญต่างๆ เกิดขึ้นมากมายเช่น คำว่า “อิสรภาพ เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ (Liberty, quality และ Fraternity) คำขวัญเหล่านี้ต้ดปากและติดใจผู้คนอยู่เสมอ ความคิด ความเชื่อต่างๆ มีการตรวจสอบและนำมาคิดใหม่มากมาย รวมทั้งในเรื่องที่ว่า “พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ” ด้วย
ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบของศิลปะ จากรูปแบบที่แข็งแกร่ง หนักแน่น มั่นคงตามแบบฉบับของสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรมแบบบาโร้คมาเป็นความอ่อนโยนและละมุนละมัยแบบ Rococo ที่ใช้สีอ่อน เส้นคดโค้ง และการประดับตกแต่งรายละเอียดอย่างสวยงาม โดยมีศิลปินคนสำคัญในสาขาต่างๆเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 19
ในตอนปลายศตวรรษก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอีกโดยที่มีความเห็นกันว่าศิลปแบบ Rococo นั้นถึงแม้จะสวยงามอ่อนช้อยแต่ก็ย่อหย่อนในทางคุณธรรม จึงกลายมาเป็นศิลปะแบบ Neoclassic ที่เป็นความมีสติปัญญา ความสงบ เรียบง่าย และสมถะ แบบกรีกและโรมันโบราณ โดยแสดงออกถึงเส้นอันหนักแน่น โครงสร้างที่ชัดเจนและเนื้อหาที่แสดงถึงคุณธรรมและจริยธรรมมากยิ่งขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของดนตรีจากแบบบาโร้คมาแบบคลาสสิค หาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อสิ้นสุดยุคบาโร้ค ซึ่งกำหนดโดยความตายของ J.S. Bach ก็หาไม่ แต่ที่จริงแล้วดนตรีได้เริ่มมีเค้าการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยที่ทั้งบาคและแฮนเดลยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป โดยมีลักษณะดนตรีที่เรียกว่า Preclassic ในระหว่างปี ค.ศ. 1730-1770 ซึ่งความเปลี่ยนแปลงนี้คู่ขนานไปกับแนวคิดและความเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมและเป็นไปในระยะเดียวกันกับที่ทั้งบาคและแฮนเดลกำลังสร้างสรรค์งานชิ้นเอกของตนนั่นเอง
บุคคลสำคัญที่บุกเบิกงานดนตรีในลักษณะใหม่ๆ แบบนี้ ก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย ที่แท้ก็คือบุคคลในตระกูล Bach นั่นเอง ได้แก่ Carl Phillip Euranuel Bach (1714-1788) และ Johann Christian Bach (1735-1782) ในราวกลางศตวรรษที่ 18 คีตกวีให้ความสำคัญในการสร้างดนตรีแบบเรียบง่ายและชัดเจน โดยยกเลิกลักษณะที่มีความสลับซับซ้อนและยุ่งยากตามแบบบาโร้คตอนปลายโดยสิ้นเชิง รูปแบบของดนตรีหลายทำนองแบบ Polyphony ถูกแทนที่ด้วยท่วงทำนองเบาๆ สบาย และการประสานเสียงแบบง่ายๆ C.E. Bach กล่าวถึงดนตรีแบบบาโร้คว่า “แห้งแล้งและแสดงออกถึงผลงานของความเป็นผู้คงแก่เรียนมากเกินไป” คีตกวีในยุคนี้จึงสร้างความรื่นเริงบันเทิงใจให้แก่ผู้ฟังด้วยบทเพลงที่แสดงถึง “ความขัดแย้งทางอารมณ์และเนื้อหาของบทเพลง” บทเพลงที่ฟังสบายๆและให้อารมณ์นี้รู้จักในลักษณะที่เรียกว่า “Gallant Style” (หนุ่มหล่อนักรัก)
ความจริงแล้วคำว่า “Classic” ค่อนข้างสร้างความสับสนให้แก่คนทั่วๆไป และมีหลายความหมาย เช่น อาจจะหมายถึงศิลปกรรมแบบกรีก-โรมันโบราณก็ได้ หมายถึงศิลปกรรมของชาติใดๆ ที่มีการวิวัฒนาการไปจนถึงจุดสูงสุดที่ถือเป็นแบบฉบับก็ได้ และในทางดนตรีอาจจะหมายถึงบทเพลงแบบฉบับที่ใช้ Jass หรือ Rock ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามในทางประวัติดนตรีตะวันตกเป็นการแย้มยิ้มคำว่า Classic นี้มาจากผลงานทางศิลปะยุคปลายศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 19 ซึ่งนิยมทำเลียนแบบกรีก-โรมันโบราณ แม้ว่าในทางดนตรีจะแสดงออกถึงความเป็น “ของเก่า” น้อยเต็มทนเลยทีเดียวก็ตาม ดังนั้นศัพท์คำว่า “classic” ก็ดีหรือ “Neo classical” ก็ดี จึงมีความหมายแต่เพียงบทเพลงที่แสดงถึงความเรียบง่ายได้ดุลยภาพและความชัดเจนของโครงสร้างเท่านั้นเอง คุณลักษณะแบบนี้จะเห็นได้ชัดเจนในบทเพลงที่ประพันธ์ขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1770-1820 ซึ่งมีคีตกวีคนสำคัญๆ หลายคนในยุคนี้แต่งเพลงที่มีลักษณะดังกล่าวโดยเฉพาอย่างยิ่งก็คือ Joseph Haydn (1732-1809) Wolfgang Amadeus Mozard (1756-1791) และท้ายที่สุดคือ คีตกวีร่วมสมัยระหว่าง Classic กับ Romantic ท่าน Ludwig Van Beethoven (1770-1827) ซึ่งเราได้ศึกษาและฟังบทเพลงของท่านเหล่านี้ต่อไปภายหลัง
วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556
คีตกวีในยุคบาโร้ค
คีตกวีสมัยบาโร้ค
คีตกวีคนสำคัญสมัยบาโร้คมีเป็นจำนวนมากไม่อาจนำมากล่าวได้หมด แต่คนสำคัญๆที่ควรกล่าวมี 3 คน คือ Antonio Vivaldi, Johann Sebatian Bach และ George Frederic Handel
โยฮัน เซบาสเตียน บาค Johann Sebastian Bach (1685-1750)
Bach ถือเป็นหลักชัยของยุคบาโร้ค ผลงานชิ้นสำคัญของบาคหลายชิ้นถือเป็นผลงานสูงสุดของยุคบาโร้ค ตัวบาคเองมีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1685-1750 (2228-2293) พูดง่ายๆว่าท่านสิ้นชีวิตก่อนที่ไทยจะเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าครั้งที่ 2 ในราว 17 ปี หรือกล่าวได้ว่าท่านมีชีวิตอยู่ระหว่างยุคกรุงศรีอยุธยาตอนปลายของไทยเรานี่เอง
บาคเป็นลูกหม้อนักดนตรีโดยแท้ นับตั้งแต่คุณปู่ทวด และคุณพ่อต่างก็เป็นนักออร์แกนประจำโบสถ์ หรือไม่ก็เป็ฯนักดนตรีท้องถิ่นของประเทศเยอรมันมาก่อนทุกคน จริงๆแล้วสมาชิกในตระกูล Bach เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงอยู่เป็นจำนวนมากมายจนกระทั่งคำว่า Bach ใช้ในความหมายโดยรวมว่า “นักดนตรีประจำเมือง” ไปเลยทีเดียว ดังนั้น ในการพบปะสมาชิกครอบครัวปีละครั้งจะมีสมาชิกชาวบาคคืนสู่เหย้าคราวละกว่าร้อยคน ซึ่งนอกจากจะพบปะกันแล้ว ยังมีการเล่นดนตรีด้วยกันอีกด้วย Johann Sebastian Bach หรือ JS. Bach ก็ดำเนินรอยตามบรรพบุรุษคือมีลูกถึง 20 คน 9 คน เล่นดนตรีได้ดีและอีก 4 คน ได้เป็นคีตกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเวลาต่อมา
Bach เกิดที่เมือง Eisenach (ไอซ์แนค) ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาเล่าเรียนดนตรีจาก Bach ผู้พ่อซึ่งเป็นนักดนตรีในเมืองนั้น และจากลูกพี่ลูกน้องที่เป็นนักออร์แกนในโบสถ์ซึ่งทั้ง 2 ท่านนี้ได้เสียชีวิตลงเมื่อบาคอายุเพียง 9 ขวบ เขาจึงต้องไปอาศัยอยู่กับพี่คนโตซึ่งเป็นนักออร์แกนนเมืองใกล้เคียง ซึ่งเขาได้อาศัยอยู่จนอายุ 15 ปี จึงได้อำลาบ้านพี่ชายที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาไปดำเนินชีวิตตาลำพังในเมืองใกล้เคียง โดยหารายได้จากการร้องเพลงในกลุ่มนักร้องประสานเสียง (Choir) และเล่นออร์แกนหรือไวโอลินตามโบสถ์ซึ่งทำให้ JS.Bach มีรายได้มากพอที่จะส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือในโรงเรียนได้ด้วย ในช่วงนี้เองที่ความหลงใหลในดนตรีได้ปรากฎชัดในตัวบาค เขาจะสามารถเดินทางด้วยเท้าเป็นระยะทางถึง 20-30 ไมล์ (40-50 กม.) เพียงเพื่อจะไปฟังนักออร์แกนที่มีชื่อเสียงบรรเลงดนตรีดีๆที่หาฟังได้ยาก
เมื่ออายุได้ 18 ปี JS. Bach เป็นนักดนตรีประจำโบสถ์ใน Arnstald (เอ็นสตัค) ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานที่เกิดของเขาเอง โดยทำหน้าที่เป็นนักออร์แกน บาคมีปัญหากับผู้บริหารที่นี้เพราะพวกคนีอำนาจพวกนั้นคิดว่าดนตรีของบาคยุ่งยากและซับซ้อนเกินไป แล้วยังถามซอกแซกถึงเรื่องที่เขาพบปะกับ “สุภาพสตรี” แปลกหน้าในโบสถ์ร้างแห่งหนึ่งอีกด้วย บาคแก้ปัญหาทั้งสองนี้ด้วยการย้ายไปเป็นนักดนตรีในตำแหน่งที่สูงขึ้นที่ Muhl hause (มึลเฮาเซ่น) และแต่งงานกับสุภาพสตรีแปลกหน้านั้นเสียเลยรู้แล้วรู้รอดไป ซึ่งแท้จริงแล้วเธอก็คือลูกพี่ลูกน้องของบาคนั่นเอง เธอชื่อ บาบาร่า (Babara)
การเล่นดนตรี ณ ที่ใหม่นี้ทำให้ฝีมือของบาคขึ้นไปสู่ระดับชั้นครู โดยมีเทคนิคการบรรเลงแบบใหม่ๆแปลกๆ เช่น การใช้เท้าเล่นออร์แกนโดยเหยียบที่กระเดื่อง ซึ่งดีเสียกว่านักดนตรีที่มีชื่อเสียงขณะนั้นเล่นด้วยมือเสียอีก หลังจากที่ได้ประสบการณ์จากการเล่นออร์แกนในโบสถ์สองแห่งที่กล่าวมาแล้ว บาคก็ได้งานดีกว่าเดิมโดยการไปเป็นนักดนตรีในราชสำนักแห่งเมือง Weimar ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็น Concert Master ให้แต่วงออเคสตร้าราชสำนักนี้ ภายหลังเขาก็ลาออกเพราะไม่ได้รับความยุติธรรมในการเลื่อนตำแหน่งและ Duke of Weimer ที่ไม่ชอบความ “หัวดื้อหัวรั้น” ของบาคจึงได้จับเขาขังคุกเสียหนึ่งเดือนเต็มๆ แต่บาคก็หาได้กลัวหัวหดต่อการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมนั้นไม่ เพราะตลอดชีวิตของเขา บาคได้เรียกร้องและต่อสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรมของเขาตลอดมา ตำแหน่งอันสำคัญยิ่งของบาคก็คือ เขาได้เป็นผู้อำนวยการเพลง (Conductor) หรือวาทยกรให้กับวงออร์เคสตร้าประจำของเจ้าชายแห่ง Cothen ซึ่งมีเงินเดือนพอกันกับทหารตำแหน่งนายพลเลยทีเดียว และที่สำคัญก็คือเป็นครั้งแรกที่งานของบาคตรงนี้ไม่เกี่ยวกับโบสถ์และดนตรีเกี่ยวกับศาสนาแต่อย่างใด นอกจากบทเพลงประเภท psalm ธรรมดาที่ใช้ในพิธีกรรมบ้างเท่านั้น เพราะเหตุว่า เจ้าชายอยู่ในนิกายใหม่หรือ Calvinistic ตลอดระยะเวลา 6 ปีในตำแหน่งอันทรงเกียรติแห่งนี้ บาคทำหน้าที่ควบคุมวงออร์เคสตรี่มีสมาชิกในวง 18 คน และได้แต่งเพลงไว้มาก รวมทั้งบทเพลงสำคัญอย่าง Brandenburg concerto ด้วย
ในปี 1720 ภรรยาของบาคถึงแก่กรรมทิ้งลูกไว้ให้เขาเลี้ยงดู 4 คน ต่อมาเมื่อเขาอายุ 36 ปีจึงได้แต่งงานใหม่กับนักร้องอายุ 21 ปี ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกันซึ่งก็อยู่ดีมีสุข ไม่แพ้การแต่งงานครั้งแรก เจ้าชายแห่ง Cothen คบกับบาคในฐานะเพื่อนเนื่องจากพระองค์ท่านก็ทรงเป็นนักดนตรีสมัครเล่นด้วย แต่ความสัมพันธ์นั้นก็ต้องเปลี่ยนไป รวมทั้งความรักดนตรีของพระองค์ด้วย เมื่อได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงที่ไม่ชอบดนตรี บาคก็เลยดิ้นรนที่จะหางานใหม่ต่อไป
เขาได้งานในปี 1723 โดยเป็นผู้อำนวยการวงดนตรีแห่งโบสถ์ เซนต์ โธมัน ที่เมือง Leipzig ซึ่งรับผิดชอบงานในโบสถ์ที่เป็นหลักทั้งสิ้น 4 แห่ง ซึ่งที่นี่เองที่บาคทำงานอยู่ตลอดเวลา 27 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของชีวินและแม้ว่าจะเป็นโบสถ์สำคัญแห่งหนี่งของเยอรมันก็ตาม แต่ทว่าความมีหน้ามีตาและเงินเดือนที่บาคได้รับนั้นน้อยกว่าเมื่อทำงานที่ราชสำนัก Cothen เสียอีก แต่บาคก็ยอมเพราะเมืองใหญ่อย่าง Leipzig นั้นมีประชากรถึง 30,000 คน และเป็นโอกาสที่ลูกๆจะได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยและอบรมบ่มนิสัยในคริสเตียนลัทธิ Lutheran เพระบาคเองก็เป็นพ่อที่เคร่งครัดในศาสนาไม่น้อยเลย เขามักจะเขียนอักษรย่อทั้งตอนต้นบทและจบเพลงของเขา ด้วยการสรรเสริญพระเจ้าอยู่เสมอ เช่น “ด้วยความเชื่อของจีซัส” และ “พระเจ้าผู้ทรงกรุณา”ในตอนจบเป็นต้น
ผลงานของ Bach ที่ถือเป็นหลักของการดนตรียุคต่อๆมานั้น มีหลายบท เช่น Toccata & Fugue และ Brandenburg และนอกจากบทเพลงสวดประเภท Mass แล้ว ก็ยังมีบทเพลงประเภท Suite แจจะเรียกเป็นภาษาไทยว่าเพลงตับก็ได้
คีตกวีคนสำคัญๆ ของโลกหลายคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่น่ารื่นรมย์ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักประสบปัญหาในชีวิตเสมอ บาคก็เป็นคนหนึ่งที่สร้างผลงานอมตะไว้ให้แก่ชาวโลก แต่บั้นปลายชีวิตนั้นไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไร และต้องอยู่ในโลกแห่งความมืดด้วยดวงตาที่มือสนิท
ที่เมืองไลฟ์ซิก บาคทำงานดนตรีอย่างขมักเขม้นทั้งฝึกซ้อมทั้งควบคุมวงดนตรีในฐานะวาทยากร และแน่นอนที่สุดคือ แต่งเพลง ซึ่งมีทั้งบทเพลงร้องประสานเสียง เพลงเดี่ยว และบทเพลงสำหรับวงออร์เคสตร้าที่จะต้องบรรเลงทุกๆวันอาทิตย์และวันสำคัญทางศาสนา นอกจากนั้นยังรับผิดชอบในการสอนลูกศิษย์ถึง 55 คนในโรงเรียน St. Thomas ซึ่งหลังจากทำงานที่เมืองไลฟ์ซิกได้หลายปี บาคก็ได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการวงดนตรี Colloquium Museum ด้วย โดยมีการบรรเลงดนตรีทุกๆคืนวันศุกร์ ณ โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง นอกจากนั้นก็ยังเล่นและสอนออร์แกน ตลอดจนตัดสิน แก้ไข ปรับปรุงผลงานประพันธ์ของผู้อื่นที่ส่งเข้ามาด้วยจนเป็นเรื่องที่หลายๆคนเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่า บาคสามารถจะทำงานศิลปะแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อรอบๆตัวเขามีแต่กลุ่มเด็กๆ ญาติพี่น้อง และลูกศิษย์ลูกหาโดยอาศัยอยู่ในห้องพักที่อยู่ติดกับห้องเรียนเลยทีเดียว
ในปี 1740 เศษสายตาของบาคเริ่มพร่ามัว แต่เขาก็ยังแต่งเพลงควบคุมวงดนตรีและดำเนินการสอนไปด้วยกัน จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1750 ซึ่งเป็นปีสุดท้านของชีวิต บาคก็จบชีวิตลงในโลกของควงามมืดด้วยสายตาที่บอดสนิท แม้จะเป็นที่รู้จักกันดีในฝีมือของบาค แต่ก็เฉพาะคนเยอรมันเท่านั้น แต่พวกนั้นมักจะคิดว่างานของบาคยุ่งยาก สลับซับซ้อน และหนักเกินไปสำหรับสังคมและพวกเขา หลังความตายของบาคบทเพลงของเขาก็ถูกลืมไปสนิท และไม่มีการพิมพ์ผลงานของเขาเลยเป็นเวลากว่า 70 ปี นอกจากลูกศิษย์ของบาคที่ยังคงแสดงผลงานของครูอยู่บ้าง เนื่องจากทราบดีว่าเป็นผลงานจากคีตกวีผู้อัจริยะ จนกระทั่ง Felix Mendel John ได้นำผลงานชื่อ St. Matthew Passion ของบาคออกแสดงในปี 1829 จึงเป็นเหตุให้มีการรื้อฟื้นผลงานของบาคออกมาศึกษาและแสดงกันอย่างแพร่หลายอีกครั้งหนึ่ง และเป็นที่ทราบกันดีถึงผลงานอันอมตะและความเป็นอัจฉริยะของบาคจนทุกวันนี้
ดังได้กล่าวในตอนต้นว่า ผลงานของบาคอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก เป็นรูปแบบของคีตนิพนธ์สมัยบาโร้คและเป็นแบบกันต่อๆมา คือเพลงแบบ “เพลงตับ” (Suite) ซึ่งประกอบด้วยเพลงสั้นๆหลายเพลงบรรเลงติดต่อกัน
Suite ในยุค Baroque เป็นวิวัฒนาการของ Suite สมัยเรอเนสซองส์ ซึ่งเป็นเพลงเต้นรำในราชสำนัก แต่บทเพลงยุคบาโร้คนี้ควรจะมีความคล้ายคลึงกับเพลงเต้นรำ แต่ก็มีจุดประสงค์เพื่อการฟังเสียมากกว่าและสามารถบรรเลงได้ทั้งด้วยเครื่องดนตรีเพียงชั้นเดียว วงคัภดุริยางค์และวงออร์เคสตร้าขนาดเล็ก บทเพลงประเภทนี้จะบรรเลงในบันไดเสียงเดียวกันทุกท่อน แต่ว่าแต่ละท่อนอาจจะแตกต่างกันในแง่ของจังหวะ อารมณ์และคุณลักษณะอย่างอื่น และมีที่มาจากบทเพลงประจำชาติต่างๆกัน อย่างเช่นจังหวะปานกลางที่เรียกว่า Allemande (ของเยอรมัน) ซึ่งจะตามด้วยท่อนเร็วแบบ Courante และปานกลางที่เรียกว่า Gavolt (ของฝรั่งเศส) หรือท่อนช้าที่เรียกว่า Sarabande (จากสเปน) และท่อนเร็วแบบ Gigue (ของอังกฤษและไอร์แลนด์) เป็นต้น บทเพลงประเภทนี้นิยมบรรเลงกันในช่วงอาหารเย็นในห้องโถง และกลางแจ้งเมื่อมีงานรื่นเริง งานฉลองต่างๆ ด้วย
ลองตอบดู คุณรู้แค่ไหน
แนวคำถามข้อสอบประวัติดนตรีตะวันตก ให้นักเรียนบอกชื่อเพลงตามรายชื่อศิลปิน คีตกวีในยุคต่างๆ ดังต่อไปนี้
Baroque Period
Music by J.S.Bach
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Vivaldi
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Handel
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Classic Period
Music by Haydn
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Mozart
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Beethoven
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Romantic Period
Music by Weber
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Mendelsohn
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Chopin
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Schubert
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Schumann
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Lizst
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Brahms
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
Music by Thaikovsky
1………………………………….
2………………………………….
3………………………………….
บอกความหมายคำศัพท์ต่อไปนี้
Concerto………………………………………………………………………………..
Basso Pontinuo…………………………………………………………………………
Opera…………………………………………………………………………………….
Symphonic Poem………………………………………………………………………..
Overture…………………………………………………………………………………..
Tone Row…………………………………………………………………………………
Etude………………………………………………………………………………………
Twelve Tone Serial……………………………………………………………………….
Prelude…………………………………………………………………………………….
Recitative………………………………………………………………………………….
Toccata…………………………………………………………………………………….
Cantabile…………………………………………………………………………………..
Fuque………………………………………………………………………………………
Variation……………………………………………………………………………………
Cantata…………………………………………………………………………………….
Aria…………………………………………………………………………………………
Mass………………………………………………………………………………………..
Symphony………………………………………………………………………………….
Motet………………………………………………………………………………………..
Sonata……………………………………………………………………………………...
Figured bass……………………………………………………………………………….
Sonatina………………………………
วินัยในตนเอง 2 รู้ว่าผิดแต่ยังทำอีก ทำไม?
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
Q1: ทำไมคนเราถึงชอบทำความผิดทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าสิ่งนั้นไม่ดี และจะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ?
คำถาม: หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกอยากกราบเรียนถามหลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมคนเราถึงชอบทำความผิด ทั้งๆ ที่รู้ตัวว่าสิ่งนั้นไม่ดี และจะแก้ไขได้อย่างไรบ้างคะ
คำตอบ: ทั้งๆ ที่รู้ว่าสิ่งนั้นผิด อะไรๆ ไม่ดีก็รู้หมด แต่อดไม่ได้ที่จะไปทำมันอีก ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดกับเรา มันเกิดมาพร้อมกับโลกใบนี้เกิด เพราะใจมนุษย์คุ้นกับกิเลส เหมือนปลาคุ้นน้ำ ลองจับปลาเป็นๆ โยนขึ้นมาบนบก แล้วจะเห็นว่า มันอยู่เฉยๆ หรือมันดิ้น จะเห็นว่ามันพยายามดิ้นจะกลับลงน้ำ ซึ่งความจริงในน้ำน่าจะหายใจไม่ออก น่าจะสำลัก อยู่บนบกน่าจะหายใจคล่อง มันไม่ใช่ เพราะมันเป็นปลา มันคุ้นกับน้ำ มากกว่าคุ้นกับอากาศ มันก็เลยดิ้นจะกลับลงน้ำต่อไป
ใจเราคุ้นอยู่กับกิเลส เมื่อเราอยู่ในท้องแม่ กิเลสก็ฝังอยู่ในใจ ติดตัวข้ามภพข้ามชาติมาแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เลยบีบคั้นใจเรามาตั้งแต่เกิด บีบคั้นมาข้ามชาติยังไม่พอ ชาตินี้บีบต่ออีก ให้เราคุ้นกับความไม่ดี เหตุนี้เองแม้รู้ว่าอะไรที่เป็นความดี ยังไม่ค่อยอยากทำเลย กลับย้อนไปทำความไม่ดีเสียอีก ใจคุ้นกับกิเลสเหมือนปลาคุ้นน้ำ
เพราะฉะนั้นในการแก้ไขตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรามีความจำเป็นที่จะยึดหลักง่ายๆ ในการแก้ไขตัวเองก็คือ นอกจากเราจะศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว สิ่งที่ต้องทำเพิ่มนั้น มีอะไรบ้าง
๑. หาคนที่เขามีกำลังใจในการประกอบคุณงามความดี หรือคนที่เขาเคยไม่เข้าท่าเหมือนเรามาก่อน แต่วันนี้เขาชนะใจตนเองได้แล้ว หาคนประเภทนี้มาเป็นครูให้ได้ ถ้าได้ โชคดียิ่งกว่าถูกล็อคเตอรี่รางวัลที่ ๑ ร้อยครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร สิ่งที่ต้องทำต่อคือ หัดเพิ่มกำลังใจให้กับตัวเอง วิธีเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง ทำอย่างไร?
หาคนที่เขาพอรู้ใจ แล้วเขาก็มีความปรารถนาดีต่อเรา อยากให้เราเป็นคนดียิ่งๆ ขึ้นไป ได้ใกล้ชิดกับท่านเหล่านี้บ่อยๆ ก็จะได้กำลังใจจากท่านมาบ้าง แต่ก็จะช่วยได้เป็นเพียงครั้งคราว
มันเป็นหน้าที่ของเรา ที่จะต้องสร้างกำลังใจเอง ในการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองก็มีหลักง่ายๆ หลักขั้นต้น ลองตรองดูว่าความผิดไม่เหมาะไม่ควรอะไร ต่างๆ นานา มีโทษทางบ้านเมืองขนาดไหน มีโทษต่อการงานความเจริญก้าวหน้าของเราขนาดไหน พิจารณาให้มากๆ
อีกเรื่องหนึ่ง ให้หนักเข้าไปอีกว่า โทษในฐานะที่เป็นความชั่ว นรกขุมไหนรอเราอยู่ ต้องลงโทษตัวเองกันขนาดนั้น การลงโทษตัวเอง ตำหนิตัวเองแรงๆโดยเอานรกเป็นตัวตั้ง มันก็เป็นการให้กำลังใจได้อย่างหนึ่งเหมือนกัน ตรงนี้คงต้องไปถามท่านผู้รู้ ท่านที่ฝึกสมาธิ(Meditation)มามาก แตกฉานธรรมะมามาก แล้วท่านจะมีวิธีแนะนำหรือชี้ขุมนรกต่างๆ ให้ฟัง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะทำให้เราเกิดความอายบาป กลัวบาปขึ้น คือมีหิริโอตัปปะเพิ่มขึ้นนั่นเอง และพลังแห่งความอายบาป กลัวบาป อายชั่ว กลัวนรกของเรา จะเป็นพลังขับดันให้เรา กล้าที่จะฝืนใจไม่ย้อนกลับไปทำความชั่วอีก นี่เป็นประการที่ ๑.
ประการที่ ๒. หมั่นนั่งสมาธิเยอะๆ ถ้าไม่มีกำลังใจในการนั่งสมาธิ ก็บอกได้คำเดียว “รีบตกนรกไปเถอะ” มันเป็นเรื่องที่เมื่อรู้แล้วมันจะต้องสู้ เพราะธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยได้เฉพาะคนที่คิดจะช่วยตัวเอง ถ้ายังไม่คิดจะช่วยตัวเอง ใครก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะวิธีช่วยตัวเองและเพิ่มกำลังใจให้กับตัวเองที่ดีอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการนั่งสมาธินั่นเอง ให้นั่งไป ถึงแม้จะเมื่อยบ้าง ง่วงบ้าง สัปหงกบ้าง ก็ไม่เป็นไร หลับตาแล้วก็ยังมืดมิด คิดอะไรก็ไม่ออก ก็ช่างมัน ทำไปสักระยะหนึ่ง ไม่ช้าใจก็จะสงบ แล้วใจมันก็จะนิ่ง จะสว่างขึ้นมาได้เอง นี่เป็นวิธีสร้างกำลังใจให้กับตัวเองวิธีที่ ๒.
นอกจากตรึกนึกนรกแล้ว ยังตรึกนึกถึงธรรมะ แล้วทำสมาธิไป ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ความจริงแล้วเป็นวิธีประกอบ แต่ว่าก็ได้ผลดี คือปู่ย่าตาทวดของเราก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แต่ว่าคนรุ่นหลังไม่ค่อยทำตาม โดยท่านมีห้องพระเอาไว้ให้ เหมือนจำลองเอาพระนิพพานมาไว้ในบ้าน เอาไว้สวดมนต์ นั่งสมาธิอย่างที่ว่า
แล้วในห้องพระนั้น พระพุทธรูปก็มี รูปบรรพบุรุษของตัวเองที่ตั้งวงศ์ ตั้งตระกูล ตั้งฐานะมาได้ ก็มี ท่านประกอบคุณงามความดีไว้มาก รูปดีๆ ติดไว้ให้รอบบ้าน ที่ทำงานด้วย ไม่เฉพาะภาพของบรรพบุรุษที่สร้างตระกูลเรามา แม้แต่บรรพบุรุษของชาติ เอารูปของท่านมาติด แล้วกำลังใจของเราจะเพิ่มขึ้น
และรูปที่ไม่เหมาะสมทั้งหลาย ภาพเกี่ยวกับอบายมุข เอาไปทิ้งเสียให้หมด มีเอาไว้ก็อัปมงคล เทวดาจะไม่อยากมาลงรักษาบ้านเรา
อะไรที่เป็นอุปกรณ์ส่งเสริมความดี เอามาจัดเตรียมไว้ให้เต็มบ้าน รูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านบำเพ็ญพระราชกรณียกิจให้กับพสกนิกรมาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยากใดๆ เลย ควรมีท่านเอาไว้บูชา แล้วเราก็ทำความดีตามท่าน
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ชายใครที่เคยบวช รูปตัวเองสมัยบวช รูปของพระอุปัชฌาย์ ควรเอามาติดไว้ดูจะได้นึกถึงความดีที่เคยทำ อย่างนี้บรรยากาศในการสร้างความดี ทั้งที่ทำงาน ทั้งที่บ้าน แม้ห้องพระ ห้องนอน มันพร้อมหมด อย่างนี้กำลังใจที่จะสู้กับกิเลส กำลังใจที่จะเพิ่มพูนความดีให้กับตัวเอง มันจึงจะทับทวีนับอสงไขยไม่ถ้วนให้กับเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วเราก็จะสามารถทำความดีจนคุ้น กลายเป็นคนดีที่โลกต้องการ
คำถาม : ถ้ามีญาติหรือมีเพื่อนมาขอยืมเงินเราควรจะวางตัวอย่างไรดี เพราะถ้าไม่มีให้ก็จะเสียน้ำใจ ถ้าให้บ่อยๆ เราก็เดือดร้อน วันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราจะมาตอบคำถามนี้ให้เรารับทราบกันค่ะ
คำตอบ: การที่ใครจะมีเพื่อน มีญาติ สิ่งที่ต้องจำไว้ก็คือเราต้องเป็นที่พึ่งให้แก่เขาได้เมื่อถึงคราวจำเป็น ถ้าถึงคราวจำเป็น ใครพึ่งก็ไม่ได้ แล้วใครเขาจะอยากมาเป็นเพื่อน เป็นญาติกับเรา นี่ประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่ง เราก็ต้องรู้ไว้ว่าแม้คราวตัวเองก็เหมือนกัน บางครั้งอาจตกเข้าที่คับขัน สิ่งที่เราเตรียมไว้ มีไว้อย่างมหาศาล บางทีก็ถึงคราวขาดแคลนได้ เข้าทำนองถึงเวลาราชสีห์ก็ต้องพึ่งหนูเหมือนกัน ตรงนี้ก็ต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราวญาติ หรือเพื่อน ขอความช่วยเหลือ วิสัยของคนดี คนที่หวังความก้าวหน้าจะต้องเตรียมพร้อมตรงนี้เอาไว้ตลอดเวลา ว่าพรรคพวกเพื่อนฝูงญาติสนิทมิตรสหายบ่ายหน้ามาแล้ว มาขอความช่วยเหลือแล้ว ต้องไม่ยอมให้กลับมือเปล่า จำคำนี้ไว้ก่อน ส่วนว่าจะช่วยกันได้มากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง อย่างไม่ได้จริงๆ ก็ต้องมีค่ารถกลับบ้านได้ ไม่อย่างนั้นมาแล้ว เสียเวลาแล้ว หวังจะได้รับความช่วยเหลือบ้าง กลับไม่ได้อะไรเลย มันก็กระไรอยู่
อย่างไรก็ตาม การที่จะให้ความช่วยเหลือใคร มากน้อยแค่ไหน อย่างไร มีหลักพิจารณาอย่างนี้
๑. ดูความพร้อม ความรู้ ความสามารถ ดูกำลังของเราว่ามีกำลังจะให้เขาพึ่งได้เท่าไหร่ ตรงนี้ดูก่อน จะช่วยใครก็ได้ แต่ว่าอย่าให้เกินกำลังตัว อันนี้ต้องถือเป็นหลักเอาไว้ให้ดี
คราวนี้ ก็มาดูถึงบุคคลที่มาขอความช่วยเหลือเรา ไม่ว่าญาติหรือเพื่อน ดูอย่างไร ข้อแรก ก็คือดูความจำเป็นของเขาว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่มีความจำเป็นอะไรนัก มาเผื่อได้เท่านั้นเอง อย่างนี้ กินข้าว เลี้ยงข้าวสักมื้อหนึ่ง แล้วก็ให้ค่ารถกลับบ้านก็พอแล้ว
แต่ถ้าหากมีความจำเป็น เช่นตัวเขาเองป่วย หรือพ่อแม่ตาย ลูกหลานเกิดอุบัติเหตุฯลฯ มันเป็นเรื่องเหลือวิสัย ตรงนี้ต้องช่วยกัน ไม่มากก็น้อย ต้องช่วยกันให้เต็มที่ เต็มตามกำลังของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเขาผู้นั้นเคยมีความสำคัญอันดีกับเราในอดีต เช่น เราเองก็เคยเป็นหนี้พระคุณเขามา ถึงคราวเราเดือดร้อน เขาก็ช่วยเหลือเราเต็มกำลังมาก่อน ถ้าในกรณีนี้ ถึงคราวเขาเดือดร้อนบ้างแล้ว เราก็ต้องช่วยให้เต็มที่ ในกรณีเช่นว่าพ่อแม่เขาป่วยหนัก ตัวเขาเองถูกกลั่นแกล้ง ถูกโกง ถูกคดีความ ต้องมีค่าประกันตัว ไม่เช่นนั้นเขาจะติดคุกติดตาราง ขึ้นโรงขึ้นศาลไม่หวาดไม่ไหว อะไรทำนองนี้ นึกถึงความจำเป็นและนึกถึงความสัมพันธ์อันดีในอดีตซึ่งมีต่อกันแล้ว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนชาวพุทธเอาไว้ว่า เพื่อนที่ดี ในวาระอย่างนี้ ต้องหาทางช่วยกันให้เต็มที่ อย่าว่าแต่เขาขอร้อง ขอยืมมาเท่าไหร่แล้วให้เท่านั้น เนื่องจากเขาเป็นคนดี เกรงใจผู้อื่น เพราะฉะนั้นที่เขาเอ่ยปากขอความช่วยเหลือนั้น มันคงเต็มที่แล้ว พระองค์จึงทรงสอนเอาไว้ว่ากรณีเช่นนี้ให้เป็น ให้เป็น ๒ เท่าที่เขาขอเลย เพราะเขาเป็นคนดี เคยมีพระคุณกับเรามาก่อน แล้วก็ครั้งนี้เขาจำเป็นจริงๆ แต่ว่าในเชิงปฏิบัติ ถ้าเราเป็นประเภทเราเองก็ตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัวให้ห่วง ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ใช้คำว่าลูกผู้ชายใจนักเลง เทกันหมดกระเป๋าช่วยกันเลย ตรงนี้คือวิสัยที่ควรทำ
แต่ว่าถ้าเป็นกรณีทั่วๆ ไปแล้ว เขากับเราก็เพียงรู้จัก แล้วก็นิสัยใจคอก็เพียงแค่พื้นๆ ยังไม่ชัดเจนนักก็พิจารณาดูว่าจมอบายมุขไหม ถ้าจมอบายมุข อย่างนี้ถ้าให้ไปแล้วนอกจากไม่เกิดประโยชน์ ยังกลายเป็นส่งเสริมให้คนทำความชั่วด้วย ในกรณีอย่างนี้ไม่ควรให้ เช่นติดเหล้า เล่นการพนัน ฯลฯ ถ้าเขาจะโกรธก็โกรธไป เพราะถ้าให้ไป เขาก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ไขนิสัยของเขาเลย
แต่ถ้าเขาเป็นคนตั้งใจทำมาหากิน นิสัยใจคอก็ ดูก็ไม่มีข้อเสียอะไร ถ้าอย่างนี้ก็ให้ไปตามสมควร ถ้าไม่มากนัก ในกรณีอย่างนี้ ก็ต้องทำใจ คือถ้าให้ไปแล้วไม่คืน หรือคืนแต่ไม่ตรงเวลา แล้วจะเกิดความเสียหายแก่เรา ถ้าอย่างนี้ คงต้องคิดมากสักหน่อย เอาไปสักแค่ครึ่งหนึ่งก็พอ นี่ยกตัวอย่าง ที่เหลือก็ให้เขาไปหาจากพรรคพวกคนอื่นบ้าง เพราะถ้าเขาไม่เอามาคืนตรงเวลา เดี๋ยวเราจะเดือดร้อน อันนี้ก็ช่วยกันไป เพราะว่ายังไม่มีประวัติในทางเสียหาย ช่วยเท่าที่ไม่เกินกำลังเรา
เมื่อให้ไปแล้ว วันหลังเขาเอามาคืนตามที่สัญญาเอาไว้ ในกรณีเช่นนี้ ก็ถือว่าประวัติใช้ได้ ก็เข้าทำนองที่ว่า หากวันหลังเดือดร้อนมาใหม่อีก ก็ให้อีก เพราะประวัติดี พอให้กันได้
แต่ถ้าประเภทไหนที่ให้ไปแล้ว ไม่เคยให้คืนกลับเราเลย ถ้ามาอีก ก็คงให้ไม่ได้ เข้าทำนองที่ว่า ไม่ให้ก็ไม่ให้ คือให้คุณไปแล้ว แล้วคุณไม่ให้คืนกลับ มาขอใหม่อีก ก็เลยไม่ให้
ประการที่ ๓. ในกรณีที่เขาก็เป็นคนดี นิสัยใจคอก็ดี แต่ว่าตอนนี้เขาเคราะห์หามยามร้าย กลายเป็นคนพิการไปแล้ว อาจจะรถเฉี่ยวรถชน หรือจะอะไรก็ตามที รู้เลยว่าให้ไปแล้วไม่ได้คืน เพราะวันนี้เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยจะได้เสียแล้ว ในกรณีนี้ทำใจเสียต้องให้ในระดับที่เราไม่เดือดร้อน ให้ได้เท่าไหร่ให้ไป เพราะเขาเป็นคนดี แต่เพียงว่าเขาโชคร้าย เขาไม่ใช่คนเลว อย่างนี้ต้องให้กัน ถึงจะไม่มีปัญญามาใช้คืน ก็ไม่ว่ากัน คิดเสียว่าถ้าถึงคราวเราเคราะห์หามยามร้าย ต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ รถคว่ำ จนพิการ อุบัติเหตุ จนกระทั่งตาบอดหูหนวกไปเสียแล้ว ทำมาหากินก็ขาดแคลนเต็มที ขาดบ้าง ไม่ขาดบ้าง อย่างนี้เราก็ไม่รู้จะเจอภาวะอย่างนี้เมื่อไหร่
เพราะฉะนั้น ช่วยใครได้ก็ช่วยไป คือให้ไปแล้ว เขาจะคืนได้หรือไม่ เมื่อมาใหม่ก็ต้องให้ไปอีก นึกว่าสงสารลูกนกลูกกา เผื่อว่าถ้าคราวเราต้องเคราะห์หามยามร้ายอย่างนี้ ก็คงจะมีใครเมตตาเราบ้าง เพราะบุญที่เราทำไว้กับเพื่อนคนนี้ หรือญาติคนนี้
ถ้าจะให้ดี สร้างบุญไว้ตั้งแต่วันนี้เยอะๆ ถึงเวลาสมบัติมันจะเกิดกับเรา มันได้เกิดเยอะๆ ใครเดือดร้อนมา เราก็จะได้ช่วยเขาได้ทีเยอะๆ กลายเป็นไม้ใหญ่ให้นกให้กาได้อาศัยได้เยอะๆ ได้มากๆ มันก็ดีเหมือนกัน
วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556
วินัยในตนเอง
การสร้างวินัยในตนเองให้แก่เด็ก
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม
วินัยนั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สังคมมนุษย์จำเป็นต้องมีวินัยเพื่อทำให้เกิดระบบระเบียบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสงบสุข และความเจริญก้าวหน้าแก่ชีวิตและสังคม
เมื่อกล่าวถึงคำว่า "วินัย" มักเข้าใจกันในทางลบว่าเป็นเครื่องบังคับควบคุม เป็นคำสั่ง เป็นระเบียบ จึงเป็นที่น่าเสียดายที่คนจำนวนมากคิดถึงวินัยในความหมายที่ควบคู่ไปกับการลงโทษ ดังจะเห็นได้จากการวิจัยของ Garvey (1999) ซึ่งได้ศึกษาว่าพ่อแม่ปลูกฝังวินัยให้แก่เด็กจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งอย่างไร จากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำจำนวน 16 ครอบครัว พบว่า พ่อแม่ทุกครอบครัวคิดถึงคำว่าวินัยควบคู่ไปกับการลงโทษ เนื่องจากมีประสบการณ์เรื่องวินัยจากการลงโทษ และพ่อแม่ยังคงใช้การลงโทษในการสอนให้ลูกมีวินัย ในบางครอบครัวพ่อแม่พยายามหลีกเลี่ยงการลงโทษแบบที่พ่อแม่เองจำฝังใจ โดยเปลี่ยนเป็นการลงโทษแบบอื่นแทน มี 2 ครอบครัว เท่านั้นที่ระลึกได้ว่าตนเองเคยได้รับการปลูกฝังวินัยด้วยคำชื่นชมที่ทำให้ตนประสบความสำเร็จในการเรียน
แท้จริงแล้วคำว่า "วินัย" เป็นคำที่มีความหมายธรรมดา มีการเชื่อมโยงกับการดำเนินชีวิต ดังที่วีระ สมบูรณ์ (2543: 36-37) ได้ให้ความหมายว่า วินัยเป็นวิถีที่เหมาะสมหรือยุติธรรม ซึ่งหมายถึงการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หัวใจของการดำเนินชีวิตที่สมดุลและเป็นสุขในโลกสมัยใหม่ คือ วินัยที่เต็มไปด้วยความเรียบง่าย โดยอาจกล่าวได้ว่าวินัย คือ วัฒนธรรมก็ได้
พระธรรมปิฎก (2538: 12-13) กล่าวว่า วินัยเป็นบัญญัติของมนุษย์ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามสมมติ เป็นการจัดระเบียบความเป็นอยู่และการจัดระบบสังคมซึ่งแยกเป็นความหมาย 3 อย่าง คือ 1) การจัดระเบียบระบบ ก็เรียกว่าวินัย 2) ตัวระเบียบระบบ หรือตัวกฎนั้นก็เรียกว่าวินัย 3) การฝึกคนให้ตั้งอยู่ในระบบระเบียบ ก็เรียกว่าวินัย
วินัยที่ถูกต้องจะต้องตั้งอยู่บนฐานของความจริงในธรรมชาติ และมีความมุ่งหมายเพื่อ "ธรรม"อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ความชอบธรรม ความเป็นธรรม ความดีงามของสังคม ทั้งนี้ พระธรรมปิฎก (2538: 8-12) ได้นำเสนอไว้ว่า วินัยที่แท้ในความหมายที่กว้าง คือ ระบบระเบียบทั้งหมดของชีวิต และสังคมมนุษย์ เป็นการจัดสรรโอกาสทำให้ชีวิตและสังคมมีระบบระเบียบ และมีโอกาสเกิดขึ้น ทำให้ทำอะไรๆ ได้คล่อง ดำเนินชีวิตได้สะดวก ถ้าชีวิตและสังคมไม่มีระเบียบ ไม่เป็นระบบ ก็จะสูญเสียโอกาสในการที่จะดำเนินชีวิตและทำกิจการของสังคมให้เป็นไปด้วยดี ตลอดจนทำให้การพัฒนาได้ผลดี ดังนั้น การพัฒนามนุษย์ในระยะยาวจึงต้องมีวินัยเป็นฐาน เพื่อให้มนุษย์สามารถนำศักยภาพของตนออกมาร่วมสร้างสรรค์สังคมอย่างได้ผล ถ้าชีวิตและสังคมขาดวินัยย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายต่างๆ ในที่สุดก็จะสูญเสียโอกาสในการที่จะดำเนินชีวิต และทำกิจการของสังคมให้เป็นไปด้วยดี
วินัยเกิดขึ้นได้ต้องมีการอบรมและฝึกฝน เพราะวินัยเป็นนามธรรมที่เป็นความจริงได้จากการที่มนุษย์ยอมรับ ไม่ใช่ความจริงตามธรรมชาติ ทั้งนี้ Bronson (2000: 32-37) กล่าวว่าช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่มีการพัฒนาวินัยได้มากที่สุด การปลูกฝังวินัยสำหรับเด็กช่วยให้เด็กมั่นใจว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ ทำให้เด็กสามารถหลีกเลี่ยงการทำผิด หรือรู้สึกอายต่อการทำผิด อีกทั้งยังช่วยให้เด็กอยู่ในมาตรฐานการยอมรับของสังคมและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ช่วยให้เด็กพัฒนาจิตสำนึก มโนธรรม หรือเสียงจากภายในตนเอง ซึ่งช่วยทำให้สามารถตัดสินใจและควบคุมพฤติกรรมด้วยตนเอง (Hurlock, 1984: 393)
ดังนั้น การปลูกฝังวินัยให้กับเด็กจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการปลูกฝังวินัยในช่วงปฐมวัย เนื่องจากเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพืชแห่งวินัยในตัวเด็กตั้งแต่ระยะเริ่มแรก เพื่อให้วินัยหยั่งรากลึกลงอย่างมั่นคงมากขึ้น ดังที่พระธรรมปิฎก (2538: 18-22) ได้แสดงธรรมไว้ว่าการสร้างวินัยที่ดีที่สุดต้องอาศัยธรรมชาติของมนุษย์ ด้วยการเริ่มต้นจากการยอมรับว่ามนุษย์ส่วนใหญ่อยู่ด้วยความเคยชิน การสร้างวินัยจึงต้องทำให้วินัยเป็นพฤติกรรมที่เคยชิน โดยพยายามเอาพฤติกรรมที่ดี ที่มีวินัย ให้เด็กทำเป็นครั้งแรกก่อนซึ่งได้แก่ในช่วงปฐมวัย หลังจากนั้นเมื่อเด็กทำบ่อยๆ ซ้ำๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และเป็นวิถีชีวิตในที่สุด
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2540: 18) ได้แบ่งวินัยออกเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วย 1) วินัยภายนอก หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งประพฤติปฏิบัติโดยเกรงกลัวอำนาจหรือการถูกลงโทษ เป็นการปฏิบัติที่บุคคลดังกล่าวไม่มีความเต็มใจ ตกอยู่ในภาวะจำยอม หรือถูกควบคุม วินัยภายนอกเกิดจากการใช้อำนาจบางอย่างบังคับให้บุคคลปฏิบัติตาม ซึ่งบุคคลอาจกระทำเพียงชั่วขณะเมื่ออำนาจนั้นคงอยู่ แต่หากอำนาจบังคับหมดไป วินัยก็จะหมดไปด้วยเช่นกัน และ 2) วินัยในตนเอง หมายถึง การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเลือกข้อประพฤติปฏิบัติสำหรับตนขึ้นโดยสมัครใจ ไม่มีใครบังคับหรือถูกควบคุมจากอำนาจใดๆ ข้อประพฤติปฏิบัตินี้ต้องไม่ขัดกับความสงบสุขของสังคม วินัยในตนเองเกิดจากความสมัครใจของบุคคลที่ผ่านการเรียนรู้อบรม และเลือกสรรไว้เป็นหลักปฏิบัติประจำตน
เอกสารทางวิชาการหลายฉบับได้ระบุไว้อย่างสอดคล้องกันว่า เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการปลูกฝังวินัยให้แก่เด็ก คือ การพัฒนาให้เด็กมี "วินัยในตนเอง" (Dinkmeyer, McKay, and Dinkmeyer, 1989: 106; Gordon and Browne, 1996: 15; Hendrick, 1996: 276; Marshall, 2001: 67) เพราะการที่เด็กมีวินัยในตนเองเป็นปัจจัยสำคัญในการที่เด็กจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ช่วยให้สังคมมีความสงบสุข และเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งนี้ วินัยในตนเอง (Self discipline) เป็นคุณลักษณะของบุคคลที่มีผู้ให้ความหมายไว้ต่างๆ กัน เอกสารส่วนใหญ่ได้ให้ความหมายของวินัยในตนเองในมุมมองด้านพฤติกรรมและการเรียนรู้ทางสังคม โดยอาจสรุปได้ว่า วินัยในตนเอง หมายถึง การควบคุมตนเองให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ได้เรียนรู้มาว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นที่ยอมรับ และละเว้นการปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี ไม่เป็นที่ยอมรับ โดยสมัครใจ โดยที่การประพฤติปฏิบัตินี้เป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อตนเอง และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
การสำรวจความคิดเห็นของผู้คนที่มีต่อการศึกษาของสมาคมไฟ เดลตา แคปพา (Phi Delta Kappa) มีคำถามหนึ่งซึ่งถามว่า "ปัญหาสำคัญที่โรงเรียนต้องเผชิญคือปัญหาอะไร" พบว่า ปัญหาเรื่องวินัยเป็นปัญหาที่ถูกระบุไว้ในอันดับต้นๆ (Charles, 2002: 4) ผลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าสังคมกำลังประสบกับปัญหาของการขาดวินัย และอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังประสบกับปัญหาความไร้วินัยของคนในสังคมเช่นกัน เห็นได้จากการที่สังคมเต็มไปด้วยอันตรายและความเสี่ยงหลายประการ ทั้งปัญหายาเสพติด การแก่งแย่งชิงดี การทุจริตและประพฤติมิชอบ การขาดความรับผิดชอบ การทารุณและทำร้ายร่างกาย อาชญากรรม ฯลฯ ทั้งนี้ ข้อมูลจากการศึกษาภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์ของ เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (2546: 93-96) ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า "คนในอนาคตควรเป็นคนที่มีระเบียบวินัย เพราะในโลกยุคแห่งการไหลบ่าของข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก การมีระเบียบวินัยเป็นสิ่งจำเป็นในการจัดระบบระเบียบข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ลักษณะชีวิตของการมีระเบียบวินัยมีความสำคัญในอนาคต ไม่ควรปล่อยให้เกิดสภาพของ ‘ทำอะไรตามใจคือไทยแท้' ต่อไป มิเช่นนั้นจะเกิดความสับสน ไร้ระเบียบ ก่อให้เกิดการขาดประสิทธิภาพ ขาดความน่าเชื่อถือ อันจะเป็นการยากที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้"
การที่สังคมไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติ ประกอบกับผลการวิจัยเอกสารภาพอนาคตและคุณลักษณะของคนไทยที่พึงประสงค์ดังกล่าวข้างต้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างวินัย-ในตนเองให้แก่เด็กเพื่อเป็นพื้นฐานให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวินัยต่อไปในอนาคต
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Opera Baroque 1600-1750
อุปรากร (Opera) สมัยบาโร้ค
ประดิษฐกรรมการสร้างสรรค์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในยุคบาโร้คคืออุปรากร (Opera) ซึ่งหมายถึงการแสดงละครแต่เป็นการแสดงละครที่ถือเอาตัวดนตรีเป็นสำคัญ พูดง่ายๆก็คือการขับร้องประกอบด้วยวงออร์เคสตร้า โดยมีท่าทางแบบละครเข้ามาผสม อุปรากรประกอบด้วยส่วนสำคัญหลายส่วน ได้แก่ ดนตรี ศิลปการแสดง กวีนิพนธ์ การเต้น ร่ายรำ ฉาก แสง สี และเครื่องแต่งตัวละคร ซึ่งเมื่อประกอบเข้าด้วยกันอย่างดีแล้วละก็สามารถจะชักจูงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตามได้เสมือนหนึ่งเป็นเรื่องจริงเลยทีเดียว
การขับร้องและดนตรีซึ่งเป็นหัวใจของอุปรากรนั้น ที่สำคัญคือการขับร้องเดี่ยว ที่เรียกว่า Aria ซึ่งเป็นการร้องที่มีการเอื้อน คือเนื้อร้องเพียงคำเดียวสามารถจะเอื้อนเสียงไปได้หลายเสียงหลายตัวโน้ต และการ้องแบบ recitative ที่ร้องเนื้อร้อง 1 คำต่อโน้ต 1 ตัว เป็นแบบร้องเนื้อเต็มของไทยและยังมีการร้องหมู่ที่เรียกว่า Chorus อีกด้วย
นักร้องเสียงดีที่แสดงเป็นตัวละครสำคัญๆ นั้นจะต้องฝึกฝนการแสดง ท่าเต้น และการแสดงท่าทางต่างๆ อย่างดีเลิศด้วยเพื่อให้การแสดงสมจริงสมจัง Opera จึงเป็นมหรสพที่สำคัญเต็มไปด้วยศิลปะชั้นสูงไม่แพ้การแสดงโขนของไทยเราเลยทีเดียว
Opera ถือกำเนิดในประเทศอิตาลี ซึ่งเริ่มมาจากการสนทนาปราศัยในหมู่ของนักวิชาการ ผู้ทรงคุณความรู้ทางด้านศิลปะต่างๆ ผู้ทรงคุณความรู้เหล่านี้เป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งนัดหมายพูดคุยกันเป็นประจำ เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1575 โดยพบกันที่เมืองฟลอเรนซ์ กลุ่มนักวิชาการนี้เรียกกันว่า Comerata คนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มนี้ได้แก่ คีตกวีชื่อ วินเซนโซ่ กาลิเลอี บิดาของท่านกาลิเลโอ (นักวิทยาศาสตร์) เป็นต้น ชาวคณะที่เรียกว่า Comerata นี้มีจุดประสงค์สำคัญที่จะสร้างสรรการแสดงดนตรีในรูปแบบใหม่ คล้ายๆละครแบบกรีกโบราณซึ่งเป็นละครแบบ “โศกนาฏกรรม” ซึ่งไม่มีหลักฐานและข้อมูลทางดนตรีอะไรหลงเหลือไว้ให้ศึกษาเลย เพียงแต่ได้แนวคิดมาจากวรรณคดีสมัยกรีกที่ตกทอดมาถึงเท่านั้น ซึ่งเชื่อกันว่าละครกรีกนั้นมีลีลาการร้องเพลงแบบกึ่งร้องกึ่งพูด ซึ่งเป็นวิธีที่กลุ่ม Camerata ต้องการจะสร้างละครที่มีการพูดเป็นทำนองเพลง ให้มีจังหวะจะโคน และเสียงสูงต่ำที่เต็มไปด้วยศิลปะและนี่ก็คือที่มาของอุปรากร
อุปรากรเรื่องแรกของโลกชื่อว่า “Euridice” ประพันธ์โดย Jacopo Peri ซึ่งต่างขึ้นแสดงเนื่องในโอกาสพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสกับ Maric di Medici อุปรากรนี้จัดแสดงขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์เมื่อปี ค.ศ. 1600 หลักจากนั้นอีก 7 ปี คีตกวีคนสำคัญชื่อ Monteverdi ก็แต่งอุปรากรที่มีชื่อเสียงคือ Orfeo จะไม่เล่าเรื่องราวโดยละเอียดของ Orfeo เพียงแต่จะบอกว่าเป็นอุปรากรที่แต่งขึ้นตามแนวของเทพนิยายกรีกเรื่อง Orpheus เดินทางไปสู่นรกเพื่อจะนำเอาวิญญาณของสาวคนรักที่ชื่อ Eurydice กลับคืนมา
นักแต่งอุปรากรคนสำคัญคนหนึ่ง ท่านคือ Claudio Monleverdi ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1507-1643 ผู้ซึ่งเกิดที่เมือง Cremona ใน Jbalu ท่านผู้นี้เป็นคีตกวีสำคัญในยุคบาโร้คตอนต้นๆ เขาทำงานอยู่ในราชสำนัก Matua อยู่ราว 21 ปี โดยเริ่มจากการเป็นนักร้องและนักไวโอลินและภายหลังจึงได้เป็นผู้อำนวยการวงดนตรีในราชสำนักนั้น และนี่เองเป็นที่ๆเขาได้สร้างอุปรากรชั้นครูชั้นแรกขึ้นมาคือเรื่อง Orfeo (Opheus, 1607) ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับหรือกว่าจะได้รับการยกย่องอีกเท่าไรนัก
ความสำเร็จของ Monteverdi เริ่มต้นเมื่อเขาได้รับเลือกให้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการวงดนตรีที่ St. Mark เมืองเวนิส ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับในโบสถ์ของอิตาลี ซึ่งเขาทำงานอยู่เรียกว่า 30 ปี จนกระทั่งถึงแก่กรรมลงไปในปี 1643 ในขณะที่ทำงานที่ St.Mark นี้ Monterverdi ไม่ได้แต่งเฉพาะบทเพลงที่เกี่ยวกับศาสนาเท่านั้น แต่ยังได้ประพันธ์บทเพลงสำหรับฆราวาส เพื่อใช้บรรเลงในหมู่ขุนน้ำขุนนางและบุคคลชั้นสูงด้วย เขาได้เขียนอุปรากรให้แก่ San Cassiano แห่งเวนิส ซึ่งเป็นโรงอุปรากรสาธารณะแห่งแรกในยุโรป และเขียนอุปรากรเรื่องสุดท้าย คือ The Corondtion of Poppea (1642) เมื่อเขาอายุได้ 75 ปี
Monteverdi เป็นเสมือนอนุสาวรีย์ทางประวัติการดนตรีในยุคศตวรรษที่ 15-17 งานของเขาเชื่อมโยงลักษณะของดนตรีของ 2 ศตวรรษนี้เข้าด้วยกัน และยังส่งอิทธิพลให้แก่นักดนตรีและคึตกวีในยุคนั้นอีกไม่น้อยเลย
วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556
คุณลักษณะทางดนตรี ในยุคบาโร้ค
คุณลักษณะทางดนตรีในยุคบาโร้ค
ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เสียก่อนว่า คุณลักษณะทางดนตรีสมัยบาโร้คที่จะกล่าวต่อไปนี้เพ่งเล็งเฉพาะในช่วง ค.ศ. 1680-1750 เท่านั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาของบทเพลงยุคบาโร้คประเภทที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันอยู่ในปัจจุบันเป็นส่วนมาก ในช่วงปลายยุคสมัยนี้บทเพลงบรรเลงมีความสำคัญขึ้นพอๆกับเพลงร้อง และแม้ว่าในช่วงแรกของยุคบรรดาคีตกวีจะเป็นแบบ Homophony Texture คือบทเพลงทำนองเดียวก็ตาม แต่ค่อยๆเพิ่มลักษณะของ polyphony คือบทเพลงหลายทำนองขึ้นในตอนปลายยุค
ลักษณะสำคัญของดนตรียุคบาโร้ค ดนตรีในยุคนี้มีลักษณะที่สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ
1. มีอารมณ์เดียวกันตลอดเพลง (Unity of Mood) เขียนบทเพลงที่เริ่มต้นด้วยอารมณ์สนุกสนาน ก็สนุกสนานไปตลอดเพลงตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่คีตกวีจะเลือกใช้จังหวะที่แน่นอนตายตัวควบคู่ไปกับท่างทำนอง ซึ่งสามารถจะพบได้ทั้งเพลงร้อง และเพลงบรรเลง
2. ใช้จังหวะเดียวกันตลอดเพลง (Unity of Rhythm) บทเพลงเพลงหนึ่งจะใช้จังหวะอย่างเป็นเอกภาพตลอดเพลง ไม่มีช้าลงหรือเร็วขึ้นไม่เปลี่ยนแปลงจังหวะ ซึ่งจะทำให้อารมณ์เพลงคงที่อยู่เช่นนั้นเรื่อยไป
3. ท่วงทำนองเพลงให้ความรู้สึกที่เชื่อมโยงติดต่อกัน (Continuity of Feeling) ทำนองที่ได้ยินตอนต้นเพลงจะมีการนำมาใช้บ่อยๆ ในลักษณะต่างๆกัน โดยไม่เปลี่ยนแปลง ให้ความรู้สึกที่เคลื่อนที่ไปอย่างต่อเนื่อง ทำนองสั้นๆ เมื่อขึ้นต้นเพลงจะถูกนำมาขยายให้ยาวขึ้นภายหลังโดยไม่มีหยุด แต่บรรเลงด้วยโน้ตติดต่อกันเป็นทำนองเต็ม
4. ใช้เสียงดังและเบาสลับกัน (Terraces Dynamics) ถึงแม้ว่าการบรรเลงดตนรีที่เป็นความเบาและดังประเภทค่อยๆดังขึ้นหรือค่อยๆเบาลง จะไม่มีปรากฏในยุคบาโร้คด้วยข้อจำกัดของเครื่องดนตรีที่ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ก็ตาม แต่ก็มีการใช้เสียงดังและเบาสลับกันเป็นช่วงๆที่เรียกว่า Terraces Dynamics คือ ดังเป็น ff สลับกับเบา p เป็นสาเหตุที่ต้องใช้ Dynamic แบบนี้ก็เพราะเครื่องดนตรี เช่น ออร์แกน และฮาร์พซิคอร์ดที่ไม่สามารถจะทำเช่นนั้นได้ และเม้ว่าตอนปลายยุคจะมีคลาวิคอร์ดซึ่งสามารถทำเสียงหนักเบาได้บ้างแต่ก็ในช่วงแคบๆ คือระหว่างเบาที่สุดไปจนถึงปานกลางเท่านั้น จึงไม่อาจสร้างอารมณ์ด้วยเสียงหนัก-เบาได้มากนัก
5. Texture หรือผิวพรรณของดนตรียุคบาโร้ค เด่นชัดในลักษณะของดนตรีหลายทำนอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำนองในระดับเสียงสูง (Soprano) และเสียงต่ำ (Bass) จะมีความสำคัญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามคีตกวีบางคนเช่น Handel ก็ยังคงใช้ผิวพรรณแบบหลายทำนองกับแบบทำนองเดียวสลับกันไปมาอยู่บ้างเหมือนกัน
6. มีการใช้ Figured Bass หรือการกำหนดทำนองของ Bass โดยการเขียนเป็นตัวเลขที่เรียกว่า Figured Bass แทน การเขียนเป็นตัวโน้ต ซึ่งสามารถประหยัดเนื้อที่กระดาษได้เป็นอย่างมาก การกำหนดแนวเบสด้วยตัวเลขนี้มีลักษณะคล้ายกับการวางแนวทำนองหลักของเสียงเบสในดนตรี Jazz ซึ่งไม่ได้กำหนด Chord progression ไว้เป็นตายตคัว เปิดโอกาสให้คีตกวีสามารถตกแต่งทำนองต่างๆได้อย่างมาก และความงามของท่วงทำนองที่มีแนวเบสเป็นตัวนำนี้เองก่อให้เกิด “กลอนเพลง” (Sequences) ตามแบบฉบับของบาโร้คขึ้นมา
7. การบรรยายอารมณ์และความรู้สึกด้วยท่วงทำนองเฉพาะ (Words and Music) เช่น เสียงสูงหมายถึงสวรรค์ เสียงต่ำอาจจะหมายถึงนรก การเสียงสูงขึ้นหมายถึงการทำดี เสียงค่อยๆต่ำลงอาจหมายถึงความตกต่ำและความเจ็บปวด ความผิดหวังใช้การเรื่องเสียงต่ำลงของขั้นคู่สี่ เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะที่ค่อนข้างเป็นมาตรฐานของดนตรีในยุคนี้
8. ลักษณะการประสมวงดนตรี ดนตรียุคบาโร้คเน้นที่การรวมกันเป็นวงบรรเลง โดยใช้กลุ่มเครื่องสายตระกูลไวโอลินเป็นหลัก และถ้าเอาเกณฑ์ปัจจุบันเป็นมาตรฐานแล้ว วงออร์เคสตาร์ในสมัยบาโร้คนั้นค่อนข้างจะมีขนาดเล็ก คือประกอบด้วยเครื่องดนตรีตั้งแต่ 10 ชิ้น ไปจนถึง 30 ชิ้น และน้อยครั้งที่จะมากขึ้นไปถึง 40 ชิ้น เครื่องดนตรีที่ใช้ประสมวงก็ไม่แน่นอน แล้วแต่บทเพลงว่าคีตกวีจะกำหนดให้ใช้อะไร เครื่องดนตรีหลักที่บรรเลงแนวทำนอง Basso Continuo ได้แก่ ฮาร์ฟซิคอร์ด และเชลโล่ ดับเบิ้ลเบสหรือบาสซุน ส่วนทำนองเพลงเสียงสูงได้แก่ Violin 1st 2nd และ Viola ส่วนเครื่องดนตรีประเภทปี่ ขลุ่ย (หรือ Wood Wino) แตร (Brass) และเครื่องตี (Percussion) นั้น สุดแล้วแต่ความเหมาะสมของเพลงแต่ละบท
ในส่วนของเครื่องดนตรีดำเนินทำนองในกลุ่มของเครื่องสาย ก็อาจจะเพิ่มขลุ่ยรีคอร์เดอร์ ฟลุท ปี่โอโบ แตรทรัมเป็ แตรทรอมโบน หรือกลองทิมปานี่ก็ยังได้ด้วย จำนวนของเครื่องดนตรีก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป บทเพลงบางบทอาจจะใช้ฟรุทเลาเดียวขณะที่มีโอโบ 2 เลา และทรัมเป็ต 4 คัน แตรทรัมเป็ตและกลองทิมปานี่มักจะใช้ในตอนที่แสดงถึงเทศกาลงานฉลองต่างๆเสียเป็นส่วนมาก ลักษณะการประสมวงดนตรีในยุคบาโร้คนี้ไม่ได้เป็นไปตามการประสมวงในดนตรีปัจจุบันที่แบ่งเครื่องดนตรีออกเป็น 4 กลุ่ม คือ เครื่องสาย ปี่-ขลุ่ย แตร และเครื่องจัวหวะ
ทรัมเป็ตในยุคบาโร้คคล้ายกับเฟรสซ์ฮอร์นในยุคแรกๆ คือไม่มีลูกสูบกดนำเสียงสูงต่ำ แต่ใช้ปากบังคบ สามารถเป่าเสียงสูงต่ำเป็นทำนองได้อย่างรวดเร็วในระดับเสียงค่อนข้างสูง เครื่องดนตรีชนิดนี้เล่นยากและเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับราชวงศ์ และถือเป็นเครื่องดนตรีบรรดาศักดิ์ของวงออร์เคสตร้า ในอดีตหากนักเป่าทรัมเป็ตถูกจับได้ในสงครามแล้วมีการแลกเปลี่ยนเชลยศึกกันละก็นักเป่าทรัมเป็ตจะได้รับเกียรติในฐานะเดียวกับนายทหารเลยทีเดียว
คีตกวีอย่าง Bach, Handel และ Vivaldi จะเลือกใช้เครื่องดนตรีอย่างระมัดระวังเพื่อให้เหมาะสมกับบทเพลงที่แต่งขึ้น แต่ละทางและนิยมทดลองใช้เครื่องนั้นเครื่องนี้จนกว่าจะพอใจ
9. รูปแบบของดนตรีในยุคบาโร้ค มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง และเป็นที่ทราบดีว่าแต่ละเพลงมักจะมีอารมณ์เพลงเป็นเอกภาพ เพลงบทหนึ่งๆ ประกอบด้วยหลายท่อน ซึ่งมีลักษณะขัดแย้งกัน แต่ละท่อนมีลักษณะที่จบสมบูรณ์ในตัวเอง และไม่จำเป็นต้องมีความเกี่ยวพันกับท่อนต่อๆไป โดยที่แต่ละท่อนมักจะมีทำนองหลัก (Theme) ของตนเอง บทเพลงแบบ 3 ท่อนของยุคบาโร้คอาจจะขึ้นต้นด้วยลักษณะที่ตัดกันของจังหวะที่ช้าและเร็วตามด้วยท่อนช้าและสุขุมคัมภีรภาพ จบด้วยท่อนเร็วสบายๆหรือเต็มไปด้วยอารมณ์ขันก็ได้
รูปแบบของดนตรียุคบาโร้คมีทั้งบทเพลง 3 ท่อน ABA เพลงทั้งท่อน AB และเพลงที่มีท่อนเดียว ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ และคือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะให้มีลักษณะตัดกันระหว่างการบรรเลงของเครื่องดนตรีกลุ่มย่อยๆกับวงออร์เคสตร้าหรือระหว่างเครื่องดนตรีกับการขับร้องประกอบวงดนตรี
วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Baroque period 1600 - 1750
ดนตรียุคบาโร้ค
Baroque 1600-1750
สภาพทางสังคม
ศิลปะแบบบาโร้คเกิดในระยะเวลาแห่งความรุ่งเรือง การประดับตกแต่ง ความหรูหรา และความสมบูรณ์แบบของศิลปะต่างๆ ระยะเวลาของดนตรียุคบาโร้คตกอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1600-1750 พิเศษระหว่างดนตรีใช้คำว่า “บาโร้ค” เพื่อกำหนดยุคของศิลปะในช่วงเวลานี้ ลักษณะของศิลปะช่วงนี้จะใช้การประดับตกแต่งให้เต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาพเขียนสีน้ำมัน การแกะสลักหิน และแม้แต่เสียงดนตรี ทั้งนักดนตรี จิตรกร ช่างปั้นและสถาปนิก ต่างก็ให้ความสนใจในการสร้างงาน ที่ประดิษฐ์ประดอยโดยสมบูรณ์ทั้งชิ้นงานของตน ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ การจัดฉากในการแสดงต่างๆ และงานศิลปกรรมอื่นๆ ศิลปินคนสำคัญๆ เช่น Bernini, Rubens และ Rembrandt ต่างก็ใช้วัสดุในการประดับตกแต่งส่วนละเอียดและขยายเนื้อหาของงานศิลปะของเขาโดยการใช้สีสันต่างๆกันบ้าง การประดับประดาให้เป็นส่วนลึกแบบสามชั้นบ้าง เพื่อให้ได้โครงสร้างที่สมบูรณ์แบบในผลงาน
สไตล์หรือรูปแบบงานในลักษณะนี้สร้างความพึงพอใจให้แก่บุคคลชั้นสูงเป็นอย่างมาก เพราะเป็นประสงค์ของประชาชนคนที่สร้างในช่วงเวลานั้นก็คือ “การประสมประสานของศิลปะโดยรวม” (Total Integrates) ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ “พระราชวังแวร์ซายส์” ในราชสำนักฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นที่รวมของศิลปะทุกสาขาเอาไว้ด้วยกัน ทั้งภาพเขียน ภาพปั้น แกะสลัก สถาปัตยกรรม และเสียงเพลง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความฟุ่มเฟือย และอำนาจราชศักดิ์
บทเพลงแบบของบาโร้ค เกิดจากการสร้างงานของโบสถ์ในอันที่จะใช้เรื่องราวของอารมณ์ ความรู้สึก ที่แสดงออกแบบการละครมาใช้ในเพลงสวดเพื่อสร้างศรัทธา ความเชื่อ ความขลังของศาสนายิ่งขึ้นไปอีก ในยุคบาโร้คนี้แม้ว่าศิลปกรรมจะหรูหราฟู่ฟ่ามากก็ตาม แต่ในทางวิทยาการแล้วเป็นจุดแห่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อยเลย เช่น งานของกาลิเลโอ (ดนตรี) Newton (แรงโน้มถ่วง) ฟรานซิส เบคอน ด้านปรัชญาก็มี ปรัชญาเมธี ที่ให้ความคิดความเห็นกว้างขวางเช่น จอห์น ลอค/เรอเน เดการ์ท/จิตรกรคนสำคัญ ได้แก่ แรมแบรนท์ รูเบน โฮการ์ช นักเขียนคนสำคัญ ได้แก่ จอห์น มิลตัน แดเนียล แดโฟ Gulliver Travel ฯลฯ วรรณกรรมในยุคนี้จะเป็นเรื่อง Satiro (ล้อเลียน) สังคมอันหรูหราฟู่ฟ่าของคนชั้นสูง ขณะที่ชาวบ้านทั่วไปยังจมอยู่ในกอบทุกข์และการเอารัดเอาเปรียบ ในจุดต้นๆ ของสมัยบาโร้คนี้ คีตกวีได้เลิกใช้ Texture แบบ Polyphony ไปแล้วเป็นส่วนมาก แต่หันมาใช้บทเพลงที่มี Texture แบบ Monody/Molophony คือมีทำนองสำคัญเพียงทำนองเดียว แล้วมีแนวขับร้องเสียงต่ำเป็นตัวประกอบที่เรียกว่า Basso continuo ลักษณะของ polyphony ยังมีหลงเหลืออยู่บ้างในดนตรีแบบ Fugue ที่บรรเลงด้วยคลาวิคอร์ท ฮาร์พซิคอร์ดและออร์แกน รวมทั้งประเภท Chrale และ Toccata ที่ประพันธ์ขึ้นโดยใช้การประสานทำนอง (Counterpoint)
บทเพลงที่ใช้ในศาสนาในลักษณะต่างๆกันได้แก่ บทเพลงแบบ Oratorio, Mass, Passion, Cantata ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปภายหลัง ลักษณะสำคัญที่ทำให้ดนตรีบาโร้คมีลักษณะเด่นก็คือ “ความตรงข้ามหรือการตัดกัน” (Contrasting) เช่น ด้านความเร็ว-ช้า ดัง-ค่อย การบรรเลงเดี่ยว-และทั้งวง ซึ่งจะพบได้ในบทเพลงประเภท Trio-Sonata, Concerto Grosso, Sinfonia และ Cantata ซึ่งจะได้กล่าวถึงในโอกาสต่อไปเช่นเดียวกัน
วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2556
คีตกวี ยุคเรเนสซองส์
คีตกวี (Composers)
สมัยนี้มีคีตกวีที่มีชื่อเสียงจำนวนมรก แต่ควรรู้จัก ได้แก่
กิโยม ดูฟาย (Guillaum Dufay : 1400-1474) ท่านผู้นี้เป็นครูดนตรีคนสำคัญสำนักดนตรีเบอร์กันดี (Burgundian School) ลักษณะสำคัญทางดนตรีของท่านผู้นี้ คอ การให้ความสำคัญกับทำนองเพลงในระดับเสียงสูง ทั้งในตัวทำนองเพลงเองและในกระสวนจังหวะของแต่ละวลี
จอสแกง เด เปร (Josquin des Prez : 1420-1521) เป็นนักดนตรีคนสำคัญกลุ่มเฟลมิช (Flemish School) ถือกันว่าเป็นคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ท่านผู้นี้ทำให้บทเพลงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงลักษณะทางศิลปะของบุคคลได้อย่างชัดเจน เป็นคีตกวีที่ผลงานดนตรีได้รับการตีพิมพ์ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ อาเดรียน วิลลาร์ด (Adrian Willaert : 1490-1562) เป็นนักดนตรีกลุ่มเฟลมิช แต่เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มดนตรีเวียนนา (Venetian School) แต่งเพลงสำหรับศาสนาที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทมาดิกราล มีชื่อเสียงมาก
จิโอวันนี เปอลุยจี ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi Palestrina : 1525-1594) ครูดนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ ชำนาญด้านดนตรีแบบโรมันคาทอลิก เป็นผู้อำนวยการวงดนตรี Cappella Givalia แห่งสำนักวาติกัน ถือว่าเป็นผู้แต่งเพลงร้องสมบูรณ์แบบตามลักษณะของ แคพเพลล่า โดยใช้เทคนิคชั้นสูงอย่างสมบูรณ์ นิยมแต่งเพลงแบบที่ใช้เสียงประสม (diatonic) และใช้ผิวพรรณทางดนตรีที่เกลี้ยงเกลา
วิลเลียม เบอร์ด (William Byrd : 1543-1623) เป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สึดเท่าที่ประวัติศาสตร์ดนตรีของอังกฤษเคยมี เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้แต่งเพลงโพลีโฟนีชั้นยอดที่ใช้เนื้อร้องทางศาสนา เช่น แมส 3 4 และ 5 แนวทำนอง รวมทั้งเพลงที่บรรเลงด้วยออร์แกน
เวอร์จินอล (Virginal) เคลาดิโอ มองเตเวอร์ดี (Claudio Monteverdi : 1543-1567) เป็นคีตกวีคนสุดท้ายแห่งยุคเรอเนสซองส์ และเป็นคนแรกแห่งยุคบาโร้ค เป็นผู้มีลักษณะการประพันธ์เพลงเป็น 2 รูปแบบที่ต่างกัน คือ แบบเก่า (stile antico) กับ แบบใหม่ (stile medomo) แบบแรกเป็นบทเพลงร้องศาสนา เช่น คอราล (Choral) และ มาดิกราล (Madrigal) ส่วนแบบหลังเป็นลักษณะทางดนตรีที่ถือได้ว่าเป็นการปูทงไปสู่ลักษณะของบาโร้คที่แท้จริง
กิโยม ดูฟาย (Guillaum Dufay : 1400-1474) ท่านผู้นี้เป็นครูดนตรีคนสำคัญสำนักดนตรีเบอร์กันดี (Burgundian School) ลักษณะสำคัญทางดนตรีของท่านผู้นี้ คอ การให้ความสำคัญกับทำนองเพลงในระดับเสียงสูง ทั้งในตัวทำนองเพลงเองและในกระสวนจังหวะของแต่ละวลี
จอสแกง เด เปร (Josquin des Prez : 1420-1521) เป็นนักดนตรีคนสำคัญกลุ่มเฟลมิช (Flemish School) ถือกันว่าเป็นคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ท่านผู้นี้ทำให้บทเพลงกลายเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงลักษณะทางศิลปะของบุคคลได้อย่างชัดเจน เป็นคีตกวีที่ผลงานดนตรีได้รับการตีพิมพ์ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ อาเดรียน วิลลาร์ด (Adrian Willaert : 1490-1562) เป็นนักดนตรีกลุ่มเฟลมิช แต่เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มดนตรีเวียนนา (Venetian School) แต่งเพลงสำหรับศาสนาที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทมาดิกราล มีชื่อเสียงมาก
จิโอวันนี เปอลุยจี ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi Palestrina : 1525-1594) ครูดนตรีผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ ชำนาญด้านดนตรีแบบโรมันคาทอลิก เป็นผู้อำนวยการวงดนตรี Cappella Givalia แห่งสำนักวาติกัน ถือว่าเป็นผู้แต่งเพลงร้องสมบูรณ์แบบตามลักษณะของ แคพเพลล่า โดยใช้เทคนิคชั้นสูงอย่างสมบูรณ์ นิยมแต่งเพลงแบบที่ใช้เสียงประสม (diatonic) และใช้ผิวพรรณทางดนตรีที่เกลี้ยงเกลา
วิลเลียม เบอร์ด (William Byrd : 1543-1623) เป็นคีตกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สึดเท่าที่ประวัติศาสตร์ดนตรีของอังกฤษเคยมี เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้แต่งเพลงโพลีโฟนีชั้นยอดที่ใช้เนื้อร้องทางศาสนา เช่น แมส 3 4 และ 5 แนวทำนอง รวมทั้งเพลงที่บรรเลงด้วยออร์แกน
เวอร์จินอล (Virginal) เคลาดิโอ มองเตเวอร์ดี (Claudio Monteverdi : 1543-1567) เป็นคีตกวีคนสุดท้ายแห่งยุคเรอเนสซองส์ และเป็นคนแรกแห่งยุคบาโร้ค เป็นผู้มีลักษณะการประพันธ์เพลงเป็น 2 รูปแบบที่ต่างกัน คือ แบบเก่า (stile antico) กับ แบบใหม่ (stile medomo) แบบแรกเป็นบทเพลงร้องศาสนา เช่น คอราล (Choral) และ มาดิกราล (Madrigal) ส่วนแบบหลังเป็นลักษณะทางดนตรีที่ถือได้ว่าเป็นการปูทงไปสู่ลักษณะของบาโร้คที่แท้จริง
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556
บัลเล่ต์ สมัยเรอเนสซอลส์
บัลเล่ต์สมัยเรอเนสซองส์
บทเพลงร้องของประชาชนคนธรรมดาทั่วไปซึ่งไม่ใช้บทเพลงของนักบวชหรือเพลงที่เกี่ยวข้องกับศาสนา และเป็นบทเพลงที่เรียบง่ายกว่าเพลงร้องแบบ “Madrigal” ก็คือประเภทที่เรียกว่า Ballet (Fa-la) ซึ่งเป็นบทเพลงที่คล้ายกับเพลงเต้นรำประกอบด้วยการร้องเดี่ยวหลายๆเสียงที่มีผิวพรรณแบบ Homophonic การร้องเพลงแบบนี้มีลักษณะที่ตรงข้ามกับเพลงที่มีผิวพรรณเป็น Polyphony ตามแบบฉบับทั่วไปในยุค Renaissance นี้ เพลงทำนองเดียวที่ร้องซ้ำซากด้วยเนื้องร้องในบทต่างๆของกวีนิพนธ์ และใช้ลูกคอร้องด้วยคำว่า fa-la ซ้ำทุกๆ 1 คำกลอน บทเพลงแบบ Ballet ของยุคนี้เริ่มต้นขึ้นในประเทศอิตาลีก่อน ชาวอิตาเลียนเรียกบทเพลงประเภทนี้ว่า “balletto” เมื่อเผยแพร่เข้าไปในอังกฤษจึงเรียกสั้นๆว่า “ballet: แต่ที่นิยมกันมากคือเรียกว่าเพลง “fa-la-la” ด้วยเหตุที่เพลงแบบนี้จะมีลูกคู่ร้องว่า “fa-la-la” หรือำม่ก็ร้องด้วยวลีที่ปราศจากความหมายอื่นๆ เช่น “hey nonny nonny” หรือ “tan tan tarira” เป็นต้น บทเพลงชนิดนี้แพร่หลายมากในราวตอนปลายศตวรรษที่ 16 ถึงต้นศตวรรษที่ 17 บทเพลงประเภท ‘Ballet” หรือ fa-la-la ที่เป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “Now is the month of Maying” (1595) ของ Thomas Morley
ในขณะที่บทเพลงร้องแบบนี้แพร่หลายอยุ่ในอังกฤษ บทเพลงประเภทที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี (Instrumental Music) ก็มีความเข้มแข็งขึ้นและเป็นที่นิยมมากขี้น ทั้งการบรรเลงประกอบร้องและประกอบการแสดง โดยเริ่มมาตั้งแต่ตอนต้นศตวรรษที่ 15 โดยกการดัดแปลงปรับปรุงมาจากเพลงร้องพื้นของ โดยบรรเลงแบบ Polyphonic
ในช่วงศตวรรษที่ 16 บทเพลงบรรเลงก็มีความก้าวหน้าและทวีความสำคัญมากขึ้น มีการแต่งเพลงแบบนี้ขึ้นใหม่ โดยไม่ได้เลียนแบบเพลงร้องแต่อย่างใด และมีการกำหนดท่วงทำนองเฉพาะของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดด้วย เช่น มีการใช้ Harp sichord, Organ และ Lute เป็นต้น
บทบรรเลงจำนวนมากได้ประพันธ์ขึ้นเพื่อประกอบการแสดงเพื่อความบันเทิง คนที่หลงใหลในวัฒนธรรมแบบนี้พยายามจะเรียนและฝึกฝนการเต้นรำให้เก่งจากครูเต้นรำมืออาชีพเพื่อความมีหน้ามีตาม การเต้นรำแบบราชสำนักจะมีการเต้นเป็นคู่ 1 ที่นิยมกันมากคือ การเต้นช้าๆ แบบที่เรียกว่า “pavanne” ในแบบอัตรา 2 จังหวะ เช่น 2/2 และ 2/4 เป็นต้น ที่มาของการเต้นแบบนี้ก็คือจากเมือง “Para” และเมือง “Padua” ของอิตาลี ส่วนการเต้นแบบ 3 จังหวะมักเป็นชนิดที่เรียกว่า “galliard” ซึ่งยังมีบทเพลงตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เครื่องดนตรีสำคัญสมัยเรอเนสซองส์แบ่งออกเป็ฯประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีเสียงดัง สำหรับบรรเลงกลางแจ้ง เช่น แตร “ทรัมเป็ต” และประเภทเสียงนุ่มนวล สำหรับบรรเลงในอาคาร เช่น Lute ชนิดต่างๆและขลุ่ย Recorder วงดนตรีประกอบด้วยการบรรเลงเครื่องดนตรี 3-8 ชนิดในระดับเสียงตั้งแต่ Soprano จนถึง Bass
วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556
ปาเลสตรีนาแบบของเรเนสซองส์
ปาเสลตรีนาและแบบของเรเนสซองส์
ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 คีตกวีอิตาเลียนให้ความสนใจและประพันธ์เพลงตามแนวคิดของกลุ่ม “เฟรมิส” อย่างเช่น งานของ นหๆรืฟ ฏำหยพำหห คนสำคัญที่สุดคนหนึ่งในหมู่คีตกวีอิตาเลียนดังกล่าวนี้ก็คิอ Giovanni Pier Wigi da Palestrina (1525-1594) ซึ่งอุทิศตนให้แก่การประพันธ์เพลงใฝห้แก่ศาสนาที่ใช้ในพิธีกรรมของคาทอลิค งานของเชาปรากฎมากที่สุดในโรมซึ่งเป็นที่ที่เขาทำงานในหน้าที่สำคัญๆ รวมทั้งเป็ฯผู้อำนวยการวงดนตรีที่โบสถ์ St .Peter ด้วย
งานของปาเลสตร์นามีมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทเพลงสวดประเภท Mass มีถึง 104 บท และบทเพลงอื่นๆอีก 450 บท บทเพลงที่มีชื่อเสียงมากของปาเลสตร์น่ก็คือบทที่ชื่อว่า “Pope Macellus (1562-63) ซึ่งอุทิศให้แก่สันตปาปาชื่อ Pop Macellus เช่นเดียวกันบทเพลงบทนี้เขียนสำหรับนักร้องประสานเสียง 6 แนวคือ soprano alto, 2 tenors, และ 2 basses
บทเพลงสวดในยุคเรอเนสซองส์นั้นมีมากมายเหลือคณานับ แต่ในชณะเดียวกันบทเพลงสำหรับฆราวาสก็เจริญขึ้นมาก บทเพลงสำหรับฆราวาสหรือชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปที่จะกล่าวถึงก็คือ เพลงประเภทเพลงร้อง เพลงร้องที่สำคัญในจุดนี้ก็คืเพลงร้องแบบ Madrigal เนื่องจากในจุดนี้มีบทเพลงที่เป็น “บทกวีนิพนธ์” ในภาษาต่างๆมากมาย ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งทั่วทั้งทวีปยุโรป ดนตรีกลายเป็นงานอดิเรก และการพักผ่อนหย่อนใจที่สำคัญยิ่งยวด บทเพลงส่วนมากเป็นการร้องเดี่ยว และ/หรือมีดนตรีประกอบบทเพลงของชาวบ้านมีการแสดงออกถึงอารมณ์ต่างๆอย่างชัดเจนและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว
รูปแบบที่สำคัญของบทเพลงเป็นแบบที่เรียกว่า “Madrigal” ซึ่งเขียนขึ้นสำหรับการร้องเดี่ยวหลายแนวในลักษณะของคีตนิพนธ์ และบทกวีสั้นๆ มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ลักษณะของผิวพรรณ (Texture) ของดนตรีคล้ายๆกับ Motet คือเป็น homophonic และ polyphonic (ทำนองเดียวมีการประสานเสียง และบทเพลงที่มีทำนองหลายทำนองซ้อนกัน) แต่มักจะบรรยายความรู้สึกด้วยถ้อยคำต่างๆ
บทเพลงแบบ Madrigal เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศอิตาลีในราวปี 1520 ในช่วงที่นิยมกันมากมีการพิมพ์บทเพลงเหล่านี้ออกมานับพันๆบท ในระหว่างศตวรรษที่ 16 และมีการแปลเป็นภาษาอังกฤษพิมพ์ออกเผยแพร่ในกรึงลอนดอนในปี 1588 อีกด้วย ทำให้มีผลที่ตามมาก็คือคีตกวีอังกฤษก็เขียน Madrigal ขึ้นมาเป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน แต่บทเพลงแบบอังกฤษจะฟังสบายๆและแสดงออกถึงอารมณ์ขันมากกว่า มีท่วงทำนองและการประสานเสียงฟังง่ายกว่าด้วย
renaissance period (1450 - 1600 )
ยุคเรอเนสซองส์
Renaissance (1450-1600)
สไตล์ หรือท่วงที ลีลา รูปแบบและลักษณะของดนตรีแบบฉบับในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 450 ถึง 1450 หรือที่ทราบกันในนามของ Medieval Period หรือยุคกลางของยุดรปซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานถึง 1,000 ปีนั้น ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างเชื่องช้ามาก เนื่องจากการคมนาคมและการสื่อสารในจุดนั้นยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก หรือกว่าที่ใครจะผุดแนวคดใหม่ทางดนตรีขึ้นมา และส่งผลกระทบถึงสังคมซึ่งใช้เวลานานมาก ดนตรีของสังคมหนึ่งๆจึงคงลักษณะเฉพาะของตัวเองไว้ได้นาน
ลักษณะของดนตรีในยุคโมดิเอวัลที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ สรุปได้ว่าเป็น 2 จำพวก คือ เพลงสวดในโบสถ์ ซึ่งเริ่มต้นจากทำนองเดียวโดดๆ แล้วขยายเป็น 2 ทำนอง 3 ทำนอง โดยแปรเปลี่ยนทิศทางของท่วงทำนองไปตามสมควร เพลงพวกนี้คือจำพวก Organum อย่างหนึ่ง และเพลงของฆราวาสหรือประชาชนธรรมดาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งภายหลังมากลายเป็นบทเพลงหลายทำนองอย่างแท้จริง โดยมีคีตกวีสำคัญสองท่านจากค่ายดนตรี Notre Dame คือ Perotin และ Leonin เป็นหลัก จากนั้นแนวคิดเรื่องบทเพลงหลายทำนองก็ค่อยๆแผ่ขยายกว้างขวางออกไป
สไตล์ของดนตรีในช่วงต่อมามีความเปลี่ยนแปลงไปจากยุคเมดิเอวัลคือยุรเรอเนส์ซองซ์ (Renaissance) ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 150 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1450-1600 อย่างไรก็ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้นี้เป็นเพียงการหมายรู้ในทางวิชาการเท่านั้น หาใช่จุดแบ่งอันชัดเจนเหมือนรั้วหรือความแตกต่างระหว่างขาวกับดำไม่ แท้จริงแล้วยังมีบริเวณคาบเยวระหว่างดนตรีลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหนึ่งอยู่ด้วย เปรียบเสมือนรอยต่อสีเทาระหว่างขาวแล้วค่อยๆกลายไปเป็นดำฉะนั้น
ดนตรีในยุคเรอเนซองส์ระหว่าง ค.ศ. 1450-1600 นี้ ก็ยังคงจำแนกออกเป็น 2 ประเภทเช่นเดิมคือ บทเพลงทางศาสนา (Sacred Music) และบทเพลงของฆราวาส (Secular Music) คำว่า Renaissance มีความเช่นเดียวกับคำว่า Rebirth หรือ “การเกิดใหม่” ซึ่งหมายถึงการมีแนวคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ การค้นพบสิ่งใหม่ๆเป็นจุดแห่งการสำรวจ การค้นคว้า ทั่งทางด้านวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ซึ่งมีผลมาจากทางการเมืองการปกครองและสังคม เริ่มต้นจากการเดินทางสำรวจดินแดนของท่านคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (1492) การเดินทางของวาสโก ดา กามา (1498) และเฟอร์ดินาน แมกเจนแลนท์ (1519-1522)
เรอเนสซองส์เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนตั้งข้อสังเกต ข้อสงสัย และมีคำถามแง่มุมต่างๆมากมาย พูดง่ายๆว่าเป็นยุคที่ผู้คนรู้จักใช้ความคิดมากการการเชื่อตาม จึงก่อให้เกิดลัทธิตัวใครตัวมัน (Individualism) ขึ้นมา ศิลปกรต่างๆรวมทั้งดนตรีจึงมีความหลากหลายมากว่าแต่ก่อน
แนวความคิดที่เป็นแกนนำของสังคมสมัยนั้นคือ แนวคิดที่เรียกว่า “Humanism/มนุษยนิยม” ซึ่งเพ่งเล็งถึงความสำคัญและการสร้างสรรค์ของมนุษย์เป็นหลัก “นักมนุษยนิยม” ไม่สนใจแม้กระทั่งนรกหรือสวรรค์วิมานอะไรทั้งสิ้น พวกนี้ไม่แคร์คำสอนของคริสเตียน แต่ใช้วัฒนธรรมแบบกรีกและโรมันโบราณ ทำให้ผู้เคร่งศาสนามองว่าบุคคลเหล่านี้เป็นพวกนอกศาสนาหรือเป็นพวกโบราณนิยม ซึ่งแนวคิดของนักมนุษยนิยมนี้มีผลอย่างยิ่งของศิลปกรรมยุโรป
ภาพเขียนก็ดี ภาพปั้นก็ดี จะแสดงสัดส่วนอันงดงามของเรือนกายมนุษย์โดยไม่มีผ้าผ่อนท่อนสไบมาปิดบัง ดังนั้น “มาดอนน่า” จึงไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอีกต่อไป แต่เป็นการแสดงออกถึง “ความงามของเด็กสาว”
ในช่วงนี้โบสถ์คริสต์และนักบวชทั้งหลายเสื่อมอำนาจลง หลังจากได้เช่นฆ่าสตรีที่เข้าใจว่าเป็น “แม่มด” เสียนับไม่ถ้วน ความเสื่อมอำนาจของคาธอลิคเห็นเด่นชัดด้วยกำเนิดของนิกายโปรแตสเต็นท์ที่นำโดย Martin Luther (1483-1546) ดนตรีในยุคเรเนสซองศ์รุ่งเรืองขึ้นเช่นเดียวกับศิลปะอื่นๆ เนื่องจากมีการประดิษฐกรรมด้านการพิมพ์เกิดขึ้นจึงสามารถพิมพ์โน้ตเพลงได้ ทำให้ดนตรีแบบใหม่ๆแพร่หลายไปได้อย่างรวดเร็ว มีคีตกวีและนักดนตรีใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)