ยุคเรอเนสซองส์
(Renaissance Period)
ยุคเรอเนสซองส์ในส่วนของดนตรี จะอยู่ในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1400-1600 และเป็นช่วงปีเดียวกับที่มีการคิดค้นการพิมขึ้น
ชาวยุโรปถือว่ายุคนี้เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ คำว่า “Renaissance” แปลว่า rebirth หมายถึง การเกิดใหม่ของลัทธิปรัชญากรีกโบราณ
เกิดทัศนะในการมองโลกที่แตกต่างจากยุคกลาง อันมีผลมาจาก
-
การศึกษา
ในปีค.ศ. 1440 ได้เกิดการพิมพ์ขึ้น
ส่งผลต่อการแพร่กระจายของแขนงสาขาวิชาต่างๆ
-
มีการคิดค้นดินปืน
และได้ทำลายระบบอัศวินลง
- เริ่มมีการสร้างเข็มทิศ เกิดการค้นคว้าไปในโลกกว้าง แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เริ่มคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
เหตุการณ์ทางด้านประวัติศาสตร์ที่สำคัญได้แก่
1.
การล่มสลายของกรุงคอนสแตนติโนเปิล
ในปีค.ศ. 1452
2.
การค้นพบแผ่นดินใหม่ของคริสโตเฟอร์
โคลัมบัส ในปีค.ศ. 1492
3.
มีศิลปินเกิดขึ้นมากมายได้แก่
เลโอนาโดร์ ดาวินซี และไมเคิล แองเจโล
ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานด้านสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่มากมาย
ลัทธิมนุษยนิยมกลายมาเป็นรากฐานที่มั่งคงในปรัชญาของศตวรรษที่ 16 ในทางศาสนา คริสตศาสนายังคงเป็นแกนหลักอยู่ แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงคือไม่แข็งแรงเท่ายุคกลาง เนื่องมาจากผู้ดำเนินการศาสนาได้ทำให้ศาสนามีรูปลักษณ์เปลี่ยนไป ซึ่งดูเหมือนจะเสื่อมลง ส่งผลให้เกิดศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนขึ้นในค.ศ. 1517 ก่อตั้งโดยมาร์ติน ลูเธอร์ พระชาวเยอรมัน เพลงร้องในโบสถ์ถูกปรับให้ร้องง่ายขึ้น เพื่อให้คนได้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมและใกล้ชิดกันศาสนามากขึ้นด้วย
สภาพสังคมที่มีอิทธิพลต่อดนตรีในยุคเรอเนสซองส์
ผู้คนในศตวรรษที่ 15 ได้พยายามที่จะสร้างโลกใหม่ที่มั่นคงหลังจากการที่ศาสนาอ่อนแอลงด้วยอุบายทางการเมือง และความหายนะต่างๆ นักวิชาการพยายามที่จะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณโดยมีเหตุผล มิใช่ความเชื่อเพียงอย่างเดียว ความพยายามที่จะใช้ดนตรีเป็นสื่ออารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ได้นำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานดนตรี ดนตรีส่วนใหญ่ยังเกี่ยวข้องกับการขับร้อง และศาสนา ในขณะเดียวกันได้มีการยกย่องความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสรรค์ผลงานดนตรี
ดนตรีในสมัยนี้ได้แบ่งเป็น 2 ประเภทเช่นเดียวกัยยุคกลางคือ ดนตรีในวัดและดนตรีชาวบ้าน แต่จะส่งเสริมซึ่งกันและกันมากขึ้น หลังจากการเสื่อมอำนาจของพระสันตะปาปาในช่วงศตวรรษที่ 14 ผู้อุปถัมภ์ดนตรีคือ ขุนนางในราชสำนักต่างก็คาดหวังให้นักดนตรีสร้างงานทั้งเพื่อ การศาสนา และ ความบันเทิงของคนในราชสำนัก
ยุคเรอเนสซองส์ตอนต้นและตอนกลาง ดนตรีจะค่อนข้างยืดหยุ่น มีแนวโน้มของการแสดงออกที่ค่อนข้างสงบ ในช่วงสุดท้ายของยุค ดนตรีได้ถูกเบี่ยงเบนไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น
ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดการพิมพ์โน้ตเพลงแบบโพลีโฟนี (คือ ดนตรีที่ประกอบด้วยทำนองอิสระตั้งแต่สองแนวขึ้นไป ) ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1501 ทำให้เกิดการแพร่หลายของดนตรีออกไปสู่โลกกว้าง แต่ละเชื้อชาติก็ต้องการดนตรีที่เป็นภาษาของตนเอง ทำให้การสร้างสรรค์งานผลงานดนตรีกลายมาเป็นของชาวบ้านมากขึ้น และยังเกิดการประดิษฐ์เครื่องดนตรีอันส่งผลให้ผู้ประพันธ์เพลงได้เขียนบทเพลงที่เป็นสำเนียงสำหรับเครื่องดนตรีโดยเฉพาะ และได้มีการแบ่งกลุ่มเครื่องดนตรีแต่ละประเภทอย่างชัดเจนขึ้นด้วย
ดนตรีในยุคศตวรรษที่ 16
การปฏิรูปดนตรีในศตวรรษที่ 16
1. ดนตรีในวัด
1.1
การปฏิรูปในประเทศเยอรมันนี
การปฏิรูปศาสนาได้เกิดขึ้นในเยอรมันตั้งแต่สมัยของมาร์ติน
ลูเธอร์ ในปี ค.ศ. 1517
ลูเธอร์เชื่อว่าคุณค่าของดนตรีนั้นอยู่ที่การสักการะ และแนวความคิดที่จะนำประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา เกิดบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าซึ่งเป็นบทประพันธ์ที่วำคัญเรียกว่า คอราล “chorale” นำมาจากบทสวดที่ถูกดัดแปลงใหม่ หรือเพลงชาวบ้านภาษาเยอรมันที่มีอยู่ก่อนการปฏิรูป คอราลในระยะแรกจะเป็นการประสานเสียง 4 แนวแบบง่ายๆ เพื่อแสดงโดยนักร้องคอรัส โดยมีทำนองอยู่แนวบนสุด
1.2
การปฏิรูปในประเทศอังกฤษ
หลังจากเกิดการล้มล้างนิกายคาธอลิก ได้นำไปสู่นิกายอังกลีกัน รูปแบบบทประพันธ์ส่วนใหญ่ได้รับมาจากนิกายคาธอลิก โดยใช้คำร้องภาษาอังกฤษแทนภาษาละติน แนวทำนองได้ถูกเรียบเรียงใหม่ เรียกว่า เพลงแมส (Mass) และโมเต็ท (Motet)
2. ดนตรีชาวบ้าน
มีรูปแบบเป็นเพลงร้องที่ประสานเสียงกันตั้งแต่ 4 แนวขึ้นไป ทำนองค่อนข้างชัดมีความเหมาะสมกับเนื้อร้อง บทกวีที่ใช้มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆนิยมเพลงที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน จังหวะสนุกสนาน ชอบเล่นเสียงคำ เสียงสระ เทคนิคอีกอย่างที่เป็นที่นิยมคือการวาดภาพของคำ (word painting) และการเลียนเสียงธรรมชาติเช่น เสียงนก ได้แก่ เพลงประเภท แมดริกัล (Madrigal)
3.
ดนตรีสำหรับการบรรเลง
ในยุคเรอเนสซองส์จะไม่มีบทบาทมากนัก
แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่จะใช้เครื่องดนตรีเฉพาะในการสื่อแต่ละบทเพลง มีลักษณะสำคัญคือ
-
ดนตรีสำหรับบรรเลงมักถูกจำกัดด้านช่วงเสียงร้อง โดยใช้เครื่องดนตรีแสดงแทน
-
การบรรเลงแบบด้นสด
(improvisation) มีบทบาทมากขึ้นในการแสดง
-
เทคโนโลยีด้านการพิมพ์ทำให้เกิดการตีพิมพ์โน้ตเพลงสำหรับเครื่องดนตรีแพร่หลายมากขึ้น
-
มีจุดประสงค์หลักเพื่อประกอบการเต้นรำของชนชั้นสูง
ดนตรีจึงเน้นหนักในเรื่องจังหวะ
-
ชื่อผลงานได้แก่
แฟนตาเซีย (fantasia) เพรลูด (prelude) แวริเอชั่น (variations)
เครื่องดนตรีในสมัยเรอเนสซองส์ จัดแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
1.
เครื่องสาย
1.1
เครื่องสายที่ใช้คันชัก
- วิโอล (viol) เป็นบรรพบุรุษของไวโอลินในสมัยศตวรรษที่ 17
1.2 เครื่องสายที่ใช้ดีด- ลูท (Lute) เป็นเครื่องดนตรีที่มีเฟร็ท มี6สาย ใช้การดีดสายเพื่อให้เกิดเสียง มีรูปทรงเหมือนลูกแพร์
2.
เครื่องเป่า
2.1
รีคอร์ดเดอร์
2.2
ทรัมเปต
2.3 ทรอมโบน
3.
ออร์แกน
ขนาดใหญ่ที่สุดถูกสร้างในยุคเรอเนสซองส์นี้เองมีท่อประมาณ 2,500อัน ใช้ สำหรับประกอบการขับร้องเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น