วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ยุคกลาง (Middle Ages)500-14

 

ยุคกลาง (Middle Ages หรือ Medieval)

            ยุคกลาง เป็นยุคที่ถือเป็นตัวแทนการเกิดใหม่ของอารยธรรมและความเจริญของยุคกรีก-โรมันโบราณ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นยุคเรอเนสซองส์ อยู่ในช่วงประมาณ ค.. 500-1400 แบ่งออกได้เป็นสองช่วงคือ

1.       ช่วงแรก คือ ช่วง ค.. 500-1000 ถือได้ว่าเป็น ยุคมืด เป็นช่วงที่กรุงโรมถูกทำลาย ผู้มีความรู้ต่างหลบหนีไปอยู่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งอยู่ในความคุ้มครองของศาสนาคริสต์ ในสมัยนั้นผู้นำทางด้านศาสนามีกำลังมั่นคงทั้งด้านกำลังคนและความมั่งคั่ง พระสันตปาปาเกรกอรีที่ 1 จึงเข้าควบคุมดูแลกรุงคอนสแตนติโนเปิลทั้งทางการเมืองและศาสนา

ตั้งแต่นั้นมาพระสันตะปาปาจึงเป็นผู้มีอำนาจควบคุมทั้งด้านการเมืองและศาสนา เกิดการรวมอำนาจทางการเมืองของเยอรมันและอิตาลีเข้าด้วยกัน โดยเรียกชื่อใหม่ว่าจักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระสันตปาปาจอห์นที่ 12

 

2.       ช่วงที่ 2 คือประมาณ ค.. 1000-1400 ในช่วงศตวรรษที่ 11 อาณาจักรโรมันได้หมดอำนาจลง ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ  เกิดการแบ่งแยกเป็นยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก โดยยุโรปตะวันตกมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากร เป็นจุดเริ่มต้นของระบบมหาวิทยาลัยและปรัชญาต่างๆ ทำให้การศึกษาเจริญรุ่งเรืองและมีระบบมากขึ้น

ในระหว่างศตวรรษที่ 12-13 เป็นช่วงสงครามครูเสด เป็นสงครามศาสนาที่กษัตริย์ ขุนนาง เจ้านาย และราษฎรในยุโรปกระทำต่อพวกที่เป็นชาวอิสลาม กินเวลาประมาณ 177 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการสร้างโบสถ์แบบโกธิก (Gothic) การสร้างเพลงและบทกวีของขุนนาง ระบบเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมแบบระบศักดินา ในช่วงศตวรรษที่ 14 มีการเสื่อมถอยของระบบศักดินา ชนชั้นกลางเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เป็นช่วงเวลาของการเริ่มแบ่งแยกรัฐออกจากโบสถ์ และวิทยาศาสตร์ออกจากศาสนา

สภาพสังคมที่มีอิทธิพลต่อดนตรีในยุคกลาง

ดนตรีในยุคกลางตอนต้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ

1.       ดนตรีในวัด (Sacred Music)

ศาสนาคริสต์เป็นแกนหลัก มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม โดยมีพระสันตปาปาเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมดูแลทั้งในด้านการเมืองและศาสนา ปรัชญาชีวิตของคนในสมัยกลางมีความเชื่อว่าชีวิตถูกพระเจ้าลิขิตไว้แล้ว คนที่มีความทุกข์หรือยากจนจะเข้าถึงพระเจ้าได้รวดเร็วกว่าคนร่ำรวย ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับสภาพพอมีพอกิน ไม่คิดกบฏ หรือโค่นอำนาจคนรวยหรือขุนนาง เพราะความเชื่อในคำสอนของศาสนา ส่งผลให้ยุคกลางมีอายุยาวนานถึงเกือบ 1,000 ปี

-          ดนตรีส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับศาสนา ผู้ประพันธ์เพลงเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเช่น พระ นักดนตรีมักจะถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเป็นนักร้องในโบสถ์

-          บทเพลงส่วนใหญ่จึงเป็นบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา ร้องเพื่อสรรเสริญพระเจ้า

-          เนื้อร้องส่วนใหญ่มาจากบทสวดต่างๆ ทำนองเกิดจากการแต่งขึ้นสดๆ (Improvisation) ทำให้การร้องฟังดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการพูดเฉยๆ

            เพลงสวดที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในพิธีศาสนาเรียกโดยรวมว่า เกรกอเรียน ชานท์ (Gregorian Chant) ซึ่งตั้งชื่อตามสันตะปาปา เกรกอรี่ที่ 1

-          เพลงสวดนี้จะเป็นเพลงแนวเดียว หรือโมโนโฟนี ร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีเล่นประกอบ

-          มีจังหวะที่อิสระ ไม่มีแบบแผน

-          ใช้บันไดเสียงแบบโบราณ (Mode)

-          ภาษาของคำสวดเป็นภาษาละตินและร้องโดยนักบวช

2.       ดนตรีชาวบ้าน (Secular Music)

สังคมในยุคกลางมีความประณีตและหรูหรามากขึ้น จากอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติที่หลากหลาย ดนตรีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผู้คนซึ่งดำรงชีวิตในสมัยกลาง โดยเฉพาะอย่ายิ่งพวกขุนนาง นอกเหนือจาดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมแล้ว ชาวบ้านทั่วไปก็มีเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงทั่ว ๆไป หรือเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของกษัตริย์ ขุนนาง เจ้าขุนมูลนาย ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและมีอำนาจในระบบศักดินา ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนศิลปะนด้านต่างๆ  

-          เพลงพวกนี้จะมีเนื้อหากว้าง เกี่ยวกับความรัก ธรรมชาติ หรือเรื่องเล่าในอดีต

-          เป็นการบันทึกโน้ตแนวเดียว

-          มีจังหวะที่สม่ำเสมอ ยังคงใช้บันไดเสียงโบราณ

-          ภาษาที่ใช้มักเป็นภาษาท้องถิ่น เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน

เครื่องดนตรีในยุคกลาง

เครื่องดนตรียุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดก็คือเสียงของมนุษย์ การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในยุคมืด (Dark Ages) และในช่วงต้นยุคกลาง (Middle Ages) ก่อให้เกิดบทสวด Hymns และบทเพลงทางโลกขึ้น โดยออร์แกนที่เล่นในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปได้ถึงศตวรรษที่ 8(ค.ศ. 700-709) และเครื่องดนตรีในยุคกลางหลายชนิดก็เป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีสมัยใหม่

ประเภทของเครื่องดนตรีในยุคกลาง มีเครื่องดนตรีหลายชนิดในยุคกลางที่สามารถจัดประเภทได้ดังนี้

1. เครื่องสาย

- ฮาร์พ (Harp) เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในยุคกลางของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 8 มีความยาวประมาณ 30 นิ้ว ใช้สำหรับเล่นเดี่ยวและบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น และได้รับความนิยมอย่างยิ่งสำหรับเล่นประกอบการร้องโคลงกลอนและบทกวี เครื่องดนตรีประเภทฮาร์ฟที่เก่าแก่ที่สุดมาจากไอร์แลนด์และอังกฤษ

- ฟิดเดิล (Fiddle หรือ Vielle) เป็นเครื่องสายที่มีห้าสายตามแบบมาตรฐานทั่วไป เป็นบรรพบุรุษของ Viol และไวโอลินยุคปัจจุบัน เครื่องดนตรีมีขนาดที่หลากหลาย รวมถึงจำนวนสายและการตั้งเสียงด้วย เล่นโดยใช้คันชักหรือใช้ดีด ปกติมักใช้วางไว้ใต้คางหรือช่วงแขนง่ายต่อการเคลื่อนไหวและเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 

- รีเบค (Rebec) เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชักสำหรับสี มาจากคำว่า Rabab ในภาษาอารบิค คาดว่านำเข้ามาในยุโรปราวช่วงศตวรรษที่ 10 ทุกวันนี้ยังพบในดนตรีพื้นบ้านของชาวยุโรปทางตะวันออกเฉียงใต้ 

  - ลูท (Lute) เป็นเครื่องดนตรีที่มีเฟร็ท มี6สาย ใช้การดีดสายเพื่อให้เกิดเสียง มีรูปทรงเหมือนลูกแพร์ สายทำจากไส้แกะ นิยมใช้แสดงเดี่ยวหรือประกอบเป็นกลุ่ม ถูกนำเข้ามาในสเปนโดยพวกแขกมัวร์ในชวงปี ค.ศ. 711

2. เครื่องเป่า

- ฟลู้ท (Flute) หน้าตาคล้ายฟลู้ทสมัยใหม่ ในยุคกลางเล่นโดยนักดนตรีเร่ร่อน

- Trumpet เครื่องเป่ารูปร่างยาวทำจากโลหะ โดยปกติจะประกอบด้วย 4 ส่วน มักใช้เล่นใน Fanfares หรือ Pageants ใช้ป่าวประกาศหรือเหตุการณ์สำคัญ

- ขลุ่ยเรคอดเดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องเป่าที่มีรูปร่างคล้ายขลุ่ยไม้ มีท่อลมภายในกลวง มีขนาดที่หลากหลาย มักเล่นสอดประสานด้วยกันหลายๆ ชิ้น ในยุคเรเนอซองส์ของเยอรมันนั้น เรคอดเดอร์มีชื่อว่า Blockflote ในฝรั่งเศส เรียก Flute a bec และในอิตาลีเรียก Flauto dolce ซึ่งต่างก็ต้องคาบปลายข้างหนึ่งไว้ที่ปาก ต่างจากฟลู้ท ที่วางไว้แนวขวางแล้วเป่า 

3. เครื่องเคาะ

- กลอง ทำจากต้นไม้ที่ข้างในเป็นโพรง ดินเหนียว หรือโลหะ หุ้มด้วยหนังของสัตว์ บางทีก็เรียก แทมบูร์ กลองเริ่มใช้กันแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 12 เพื่อให้จังหวะประกอบการร้องและการเต้นรำ

4. เครื่องดนตรีประเภทลิ่มนิ้ว

- ออร์แกน (Organ) ตามโบสถ์จะมีออร์แกนขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะใช้ผู้เล่นถึง 2 คน นอกจากออร์แกนประจำโบสถ์ขนาดใหญ่แล้ว ในยุคกลางยังมีออร์แกนขนาดเล็ก 2 ชนิดคือ ออร์แกนแบบ Portative (มาจากคำว่า Portatum ในภาษาละตินที่แปลว่าสามารถหิ้วไปมาได้) มีขนาดเล็กจนสามารถหิ้วไปมาได้ โดยจะมีแถบผ้าคล้องรอบคอผู้เล่น ส่วนมือซ้ายจะควบคุมที่สูบลม ในขณะที่มือขวาจะกดลิ่มต่างๆ ที่ต่อเข้ากับท่อแต่ละท่อ และออร์แกนแบบ Positive (มาจากคำในภาษาละตินว่า Positum ที่แปลว่า "วาง") ซึ่งต้องวางไว้บนโต๊ะเพื่อเล่น โดยต้องมีผู้ช่วยเพื่อควบคุมท่อลม

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น