ยุคกลาง (Middle
Ages หรือ Medieval)
ยุคกลาง
เป็นยุคที่ถือเป็นตัวแทนการเกิดใหม่ของอารยธรรมและความเจริญของยุคกรีก-โรมันโบราณ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นยุคเรอเนสซองส์ อยู่ในช่วงประมาณ ค.ศ. 500-1400 แบ่งออกได้เป็นสองช่วงคือ
1.
ช่วงแรก
คือ ช่วง ค.ศ. 500-1000 ถือได้ว่าเป็น “ยุคมืด”
เป็นช่วงที่กรุงโรมถูกทำลาย ผู้มีความรู้ต่างหลบหนีไปอยู่กรุงคอนสแตนติโนเปิล
ซึ่งอยู่ในความคุ้มครองของศาสนาคริสต์ ในสมัยนั้นผู้นำทางด้านศาสนามีกำลังมั่นคงทั้งด้านกำลังคนและความมั่งคั่ง
พระสันตปาปาเกรกอรีที่ 1 จึงเข้าควบคุมดูแลกรุงคอนสแตนติโนเปิลทั้งทางการเมืองและศาสนา
ตั้งแต่นั้นมาพระสันตะปาปาจึงเป็นผู้มีอำนาจควบคุมทั้งด้านการเมืองและศาสนา
เกิดการรวมอำนาจทางการเมืองของเยอรมันและอิตาลีเข้าด้วยกัน โดยเรียกชื่อใหม่ว่า “จักรวรรดิโรมันศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระสันตปาปาจอห์นที่ 12
2.
ช่วงที่ 2 คือประมาณ ค.ศ.
1000-1400 ในช่วงศตวรรษที่ 11 อาณาจักรโรมันได้หมดอำนาจลง
ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกศาสนาออกเป็นนิกายต่างๆ
เกิดการแบ่งแยกเป็นยุโรปตะวันตกและยุโรปตะวันออก
โดยยุโรปตะวันตกมีความเจริญรุ่งเรืองกว่าเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากร
เป็นจุดเริ่มต้นของระบบมหาวิทยาลัยและปรัชญาต่างๆ
ทำให้การศึกษาเจริญรุ่งเรืองและมีระบบมากขึ้น
ในระหว่างศตวรรษที่ 12-13 เป็นช่วงสงครามครูเสด เป็นสงครามศาสนาที่กษัตริย์ ขุนนาง เจ้านาย
และราษฎรในยุโรปกระทำต่อพวกที่เป็นชาวอิสลาม กินเวลาประมาณ 177 ปี ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการสร้างโบสถ์แบบโกธิก (Gothic) การสร้างเพลงและบทกวีของขุนนาง ระบบเศรษฐกิจ
การเมืองและสังคมแบบระบศักดินา ในช่วงศตวรรษที่ 14 มีการเสื่อมถอยของระบบศักดินา
ชนชั้นกลางเริ่มมีบทบาทมากขึ้น เป็นช่วงเวลาของการเริ่มแบ่งแยกรัฐออกจากโบสถ์
และวิทยาศาสตร์ออกจากศาสนา
สภาพสังคมที่มีอิทธิพลต่อดนตรีในยุคกลาง
ดนตรีในยุคกลางตอนต้นแบ่งออกเป็น
2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.
ดนตรีในวัด
(Sacred Music)
ศาสนาคริสต์เป็นแกนหลัก
มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม
โดยมีพระสันตปาปาเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมดูแลทั้งในด้านการเมืองและศาสนา
ปรัชญาชีวิตของคนในสมัยกลางมีความเชื่อว่าชีวิตถูกพระเจ้าลิขิตไว้แล้ว
คนที่มีความทุกข์หรือยากจนจะเข้าถึงพระเจ้าได้รวดเร็วกว่าคนร่ำรวย
ทำให้คนส่วนใหญ่ยอมรับสภาพพอมีพอกิน ไม่คิดกบฏ หรือโค่นอำนาจคนรวยหรือขุนนาง
เพราะความเชื่อในคำสอนของศาสนา ส่งผลให้ยุคกลางมีอายุยาวนานถึงเกือบ 1,000 ปี
-
ดนตรีส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับศาสนา
ผู้ประพันธ์เพลงเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเช่น พระ
นักดนตรีมักจะถูกฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเป็นนักร้องในโบสถ์
-
บทเพลงส่วนใหญ่จึงเป็นบทเพลงที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา
ร้องเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
-
เนื้อร้องส่วนใหญ่มาจากบทสวดต่างๆ
ทำนองเกิดจากการแต่งขึ้นสดๆ (Improvisation) ทำให้การร้องฟังดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการพูดเฉยๆ
เพลงสวดที่แต่งขึ้นเพื่อใช้ในพิธีศาสนาเรียกโดยรวมว่า
เกรกอเรียน ชานท์ (Gregorian Chant) ซึ่งตั้งชื่อตามสันตะปาปา เกรกอรี่ที่ 1
-
เพลงสวดนี้จะเป็นเพลงแนวเดียว
หรือโมโนโฟนี ร้องโดยไม่มีเครื่องดนตรีเล่นประกอบ
-
มีจังหวะที่อิสระ
ไม่มีแบบแผน
-
ใช้บันไดเสียงแบบโบราณ
(Mode)
- ภาษาของคำสวดเป็นภาษาละตินและร้องโดยนักบวช
2.
ดนตรีชาวบ้าน
(Secular Music)
สังคมในยุคกลางมีความประณีตและหรูหรามากขึ้น
จากอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติที่หลากหลาย
ดนตรีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผู้คนซึ่งดำรงชีวิตในสมัยกลาง
โดยเฉพาะอย่ายิ่งพวกขุนนาง นอกเหนือจาดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรมแล้ว
ชาวบ้านทั่วไปก็มีเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงทั่ว ๆไป
หรือเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของกษัตริย์ ขุนนาง เจ้าขุนมูลนาย
ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและมีอำนาจในระบบศักดินา ทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนศิลปะนด้านต่างๆ
-
เพลงพวกนี้จะมีเนื้อหากว้าง
เกี่ยวกับความรัก ธรรมชาติ หรือเรื่องเล่าในอดีต
-
เป็นการบันทึกโน้ตแนวเดียว
-
มีจังหวะที่สม่ำเสมอ
ยังคงใช้บันไดเสียงโบราณ
- ภาษาที่ใช้มักเป็นภาษาท้องถิ่น เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน
เครื่องดนตรีในยุคกลาง
เครื่องดนตรียุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดก็คือเสียงของมนุษย์ การเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในยุคมืด
(Dark
Ages) และในช่วงต้นยุคกลาง (Middle
Ages) ก่อให้เกิดบทสวด Hymns
และบทเพลงทางโลกขึ้น
โดยออร์แกนที่เล่นในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดย้อนกลับไปได้ถึงศตวรรษที่ 8(ค.ศ.
700-709) และเครื่องดนตรีในยุคกลางหลายชนิดก็เป็นต้นกำเนิดของเครื่องดนตรีสมัยใหม่
ประเภทของเครื่องดนตรีในยุคกลาง
มีเครื่องดนตรีหลายชนิดในยุคกลางที่สามารถจัดประเภทได้ดังนี้
1. เครื่องสาย
- ฮาร์พ (Harp) เริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในยุคกลางของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 8 มีความยาวประมาณ 30 นิ้ว ใช้สำหรับเล่นเดี่ยวและบรรเลงร่วมกับเครื่องดนตรีอื่น และได้รับความนิยมอย่างยิ่งสำหรับเล่นประกอบการร้องโคลงกลอนและบทกวี เครื่องดนตรีประเภทฮาร์ฟที่เก่าแก่ที่สุดมาจากไอร์แลนด์และอังกฤษ
- ฟิดเดิล (Fiddle หรือ Vielle) เป็นเครื่องสายที่มีห้าสายตามแบบมาตรฐานทั่วไป เป็นบรรพบุรุษของ Viol และไวโอลินยุคปัจจุบัน เครื่องดนตรีมีขนาดที่หลากหลาย รวมถึงจำนวนสายและการตั้งเสียงด้วย เล่นโดยใช้คันชักหรือใช้ดีด ปกติมักใช้วางไว้ใต้คางหรือช่วงแขนง่ายต่อการเคลื่อนไหวและเป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- รีเบค (Rebec) เป็นเครื่องสายที่ใช้คันชักสำหรับสี มาจากคำว่า Rabab ในภาษาอารบิค คาดว่านำเข้ามาในยุโรปราวช่วงศตวรรษที่ 10 ทุกวันนี้ยังพบในดนตรีพื้นบ้านของชาวยุโรปทางตะวันออกเฉียงใต้
- ลูท (Lute) เป็นเครื่องดนตรีที่มีเฟร็ท มี6สาย ใช้การดีดสายเพื่อให้เกิดเสียง มีรูปทรงเหมือนลูกแพร์ สายทำจากไส้แกะ นิยมใช้แสดงเดี่ยวหรือประกอบเป็นกลุ่ม ถูกนำเข้ามาในสเปนโดยพวกแขกมัวร์ในชวงปี ค.ศ. 711
2. เครื่องเป่า
- ฟลู้ท (Flute) หน้าตาคล้ายฟลู้ทสมัยใหม่
ในยุคกลางเล่นโดยนักดนตรีเร่ร่อน
- Trumpet เครื่องเป่ารูปร่างยาวทำจากโลหะ
โดยปกติจะประกอบด้วย 4 ส่วน มักใช้เล่นใน Fanfares หรือ Pageants
ใช้ป่าวประกาศหรือเหตุการณ์สำคัญ
- ขลุ่ยเรคอดเดอร์ (Recorder) เป็นเครื่องเป่าที่มีรูปร่างคล้ายขลุ่ยไม้ มีท่อลมภายในกลวง มีขนาดที่หลากหลาย มักเล่นสอดประสานด้วยกันหลายๆ ชิ้น ในยุคเรเนอซองส์ของเยอรมันนั้น เรคอดเดอร์มีชื่อว่า Blockflote ในฝรั่งเศส เรียก Flute a bec และในอิตาลีเรียก Flauto dolce ซึ่งต่างก็ต้องคาบปลายข้างหนึ่งไว้ที่ปาก ต่างจากฟลู้ท ที่วางไว้แนวขวางแล้วเป่า
3. เครื่องเคาะ
- กลอง ทำจากต้นไม้ที่ข้างในเป็นโพรง ดินเหนียว หรือโลหะ หุ้มด้วยหนังของสัตว์ บางทีก็เรียก แทมบูร์ กลองเริ่มใช้กันแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 12 เพื่อให้จังหวะประกอบการร้องและการเต้นรำ
4. เครื่องดนตรีประเภทลิ่มนิ้ว
-
ออร์แกน (Organ) ตามโบสถ์จะมีออร์แกนขนาดใหญ่
ซึ่งมักจะใช้ผู้เล่นถึง 2 คน นอกจากออร์แกนประจำโบสถ์ขนาดใหญ่แล้ว
ในยุคกลางยังมีออร์แกนขนาดเล็ก 2 ชนิดคือ ออร์แกนแบบ Portative (มาจากคำว่า Portatum ในภาษาละตินที่แปลว่าสามารถหิ้วไปมาได้)
มีขนาดเล็กจนสามารถหิ้วไปมาได้ โดยจะมีแถบผ้าคล้องรอบคอผู้เล่น
ส่วนมือซ้ายจะควบคุมที่สูบลม ในขณะที่มือขวาจะกดลิ่มต่างๆ
ที่ต่อเข้ากับท่อแต่ละท่อ และออร์แกนแบบ Positive (มาจากคำในภาษาละตินว่า
Positum ที่แปลว่า "วาง")
ซึ่งต้องวางไว้บนโต๊ะเพื่อเล่น โดยต้องมีผู้ช่วยเพื่อควบคุมท่อลม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น