โจฮันเนส บราหมส์
Johannes Brahms
Johannes Brahms
1833 - 1897
(Johannes Brahms) เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1833 ณ เมืองแฮมเบอร์ก ประเทศเยอรมันนี
เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและขัดสนเงินทอง มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นบ้านที่พำนักพักพิงก็โกโรโกโส อยู่ในย่านสลัมอันสกปรกที่สุดของเมืองแฮมเบอร์ก โจฮันน์ จาคอบ บราพมส์ (Johann Jakob Brahms) ผู้เป็นบิดาทำมาหาเลี้ยงครอบครัวอันมีลูก 3 คนด้วยการยึดอาชีพทางดนตรีโดยเป็นนักเล่น Double Bass ประจำอยู่ที่โรงละครแฮมเบอร์ก สตัดท์ เธียเตอร์ (Hamburg Stadt Theater) มีรายได้จากอาชีพนี้น้อยมาก เป็นรายได้ที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง ส่วนมารดานั้นชื่อ โจฮันนา นิสเซ่น ทำงานเย็บปักถักร้อยเล็ก ๆ น้อย ๆ และเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน บราหมส์เป็นลูกคนที่ 2 ในจำนวน 3 คน
บราหมส์มีแววทางดนตรีปรากฏออกมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กๆอยู่ โดยสามารถทำ
เสียงดนตรีได้ตั้งแต่ยังนอนแบเบาะ พอโตขึ้นมาหน่อยก็สามารถประดิษฐ์โน้ตเพลง ขึ้นใช้เป็นเครื่องหมายแทนเสียงดนตรีที่เขาแต่งขึ้นเอง ลงบนกระดาษตามประสา เด็กๆที่คิดจะเลียนแบบผู้ใหญ่ เมื่อพ่อเห็นความเป็นอัจฉริยางดนตรีของลูกชายปรากฏออกมาเช่นนั้น จึงเริ่ม เอาใจใส่ฝึกสอนให้ลูกเล่นไวโอลิน เชลโล และฮอร์น ซึ่งขณะนั้นบรามหมส์มีอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้น
เมื่อค.ศ. 1841 ขณะที่มีอายุ 8
ขวบ พ่อได้ส่งไปเรียนเปียโนกับครูคนหนึ่งชื่อ
ออตโต ฟรันซ์ คอสเซล
(OttoFranzCossel) ซึ่งเป็นครูสอนดนตรีฝีมือดีอยู่ในท้องถิ่นนั้น บราหมส์เรียนได้รวดเร็วมาก คือสามารถเรียนเปียโนกับครูคอสเซลได้หมดทุกเพลง และคล่องแคล่วมาก พออายุได้ 10 ขวบ คือ ใน ค.ศ. 1843 คอสเซลได้แนะนำให้บราหมส์ไปเรียนเทคนิคตลอดจนทฤษฎีต่างๆในการแต่งเพลงกับเอ ดวดมารุกซเซน (EduadMarxsenค.ศ.1806–1887) นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงคน หนึ่งในแฮมเบอร์ก เขาได้สอนการแต่งเพลงให้กับบราหมส์อย่างเอาใจใส่เป็นอย่างดีในตอนหลัง ๆ เพราะเห็นว่าบราหมส์เรียน เป็นมีความตั้งอกตั้งใจและเอาใจใส่ในบทเรียนเป็น อย่างมาก นอกจากนั้นบราหมส์ยังสนใจงานของบาคและเบโธเฟน จนสามารถเล่นเพลงบางเพลงของคีตกวีทั้งสองได้เป็นอย่างดี ค.ศ. 1844 ก็สามารถออกเล่นเปียโนตามสถานที่เต้นรำ เพื่อหาเงินมาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวได้บ้าง
ค.ศ. 1845 อายุได้ 18 ปี สามารถแต่งเพลงได้แล้ว และได้แสดงการเดี่ยวเปียโนเป็นครั้งแรก
ในรายการแสดงการเดี่ยวเปียโนวันนั้นก็มีเพลงของเขารวมอยู่ด้วย ด้วยความขัดสนเงินทองนี่เองทำ ให้เขาจำเป็นต้องใช้วิชาดนตรีที่ได้ร่ำเรียนมา ช่วยแก้ปัญหานั้น เขาดำเนินชีวิตด้วยการสอนดนตรี และรับจ้างเล่นเปียโนตามสถานเต้นรำต่าง ๆ ได้เงินมาช่วยเหลือครอบครัวบ้างพอควร ค.ศ. 1847 เดินทางไปพักผ่อนที่เมือง Winsen – an – der Luhe เขาได้แต่งเพลง ABC และ Postilons Morgenlied สำหรับให้นักร้องชาย ค.ศ. 1848 เดินทางไปตากอากาศที่ Winsen เช่นเคย และได้แสดงคอนเสิร์ตเพลง Fantasy on a favourite Waltz ที่เขาแต่งขึ้นเองเมื่อวันที่ 21 เมษายน นอกจากการแสดงคอนเสิร์ตแล้ว บราหมส์ได้คร่ำเคร่งกับการแต่งเพลงต่าง ๆ ถึง 150 เพลง
ค.ศ. 1850 เอดวด แมนยี่ (Eduard
Remenyi ค.ศ. 1830 - 1898) นักไวโอลินที่มีชื่อเสียง
ชาวฮังกาเรียนได้เดินทางมาหางานำที่แฮมเบอร์ก จึงได้พบกับบราหมส์และได้เป็นเพื่อนที่สนิทสนมกัน จนได้ร่วมดำเนินอาชีพด้วย กัน เรเมนยีเป็นส่วนประกอบสำคัญอย่างมากคนหนึ่งในคณะดนตรีของบราหมส์ และเขาเป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในความเป็นอัจฉริยะของบราหมส์อย่างจริงใจ
ค.ศ. 1853 บราหมส์และเรเมนยี
ได้ร่วมกันเดินทางตระเวนไปแสดงคอนเสิร์ตตามเมืองต่าง ๆ
โดยเริ่มเดินทางในเดือนเมษายนไปถึงเมือง Gottengen ในเดือนพฤษภาคม ที่นี่ได้รู้จักกับ Joseph Joachim (1831 – 1907) นักดนตรีชั้นนำคนหนึ่งของยุโรปโดยการแนะนำของเรเมนยี เพราะ Joachim เป็นเพื่อนเก่าแก่ร่วมโรงเรียนและเป็นเพื่อนร่วมชาติกับเรเมนยีด้วย Joachim เป็นนักไวโอลินฝีมือเยี่ยมมากคนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้เป็นผู้กำกับวงดนตรีของ Royal Orchestra เมื่อเขารู้จักกับบราหมส์ก็มีความสนิทสนมอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็ไปยังเมืองไวมาร์ ที่นั่นได้รู้จักกับ ฟรันซ์ ลิสท์ (Franz Liszt) Peter Cornelius (1824 – 1874) จินตกวีและนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักแต่งเพลงประกอบอุปรากรประเภท Comic Opera และอีกคนหนึ่ง ชื่อ Joseph Joachim Raff (1822 – 1882) นักแต่งเพลงชาวเยอรมัน บราหมส์ได้แสดงคอนเสิร์ตอยู่ในไวมาร์ ถึง 6 สัปดาห์ ลิสท์มีความเสื่อมใสในงานของบราหมส์อยู่ไม่น้อย
ต่อจากนั้นบราหมส์ก็นำคณะเดินทางไปยังเมืองโคโลญ
(Cologne) ได้รู้จักกับ เฟอร์ดินันน์
ฮิลเลอร์
(Ferdinand Hiller 1811 – 1885) เป็นนักเปียโนชาวเยอรมัน และ คาร์ล เฮนริค คาส์สเตน เรเนคเค (Carl Heinrich Carsten Reinecke 1824 – 1910) นักเปียโน, นักไวโอลิน, และนักแต่งเพลงผู้มี่ชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นกำลังทำการสอนอยู่ที่ Cologne Conservatory ออกจากเมืองโคโลญแล้วก็เดินทางไปที่เมือง Dusseldorf รู้จักโรเบอร์ต ชูมันน์ (Robert Schumann 1810 – 1856) นักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมัน ชูมันน์ได้ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี และต่อจากนั้นบราหมส์ก้รู้จักชอบพอกับครอบครัวของชูมันน์ ทั้งนี้ก็เพราะเขามีจดหมายแนะนำตัวและฝากฝังจาก Joachim มาด้วย ประกอบกับชูมันน์นิยมในความเป็นอัจฉริยะของบราหมส์ด้วย จากบันทึกในไดอารี่ของชูมันน์ ประจำเดือนกันยายน ค.ศ. 1853 มีตอนหนึ่งกล่าวว่า “—บราหมส์มาหาฉัน เขาเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงผู้อัจฉริยะ” จากการที่ชูมันน์ได้รู้จักกับบราหมส์และได้ฟังเพลงของเขาแล้ว ทำให้ชูมันส์รู้สึกประทับใจในตัวเขาตลอดจนงาน ของเขาเป๋นอย่างยิ่ง จนถึงกับเขียนบทความยกย่องบราหมส์ลงในนิตยสารดนตรีที่ชื่อฉบับหนึ่ง ชื่อ ‘The Neue Zaitschrift fur Musik’ ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 1853 ภายใต้หัวเรื่องว่า Neue Bahnen (New Paths) ข้อความนั้นมีตอนหนึ่งกล่าวว่า “—บราหมส์ นักดนตรีหนุ่มวัย 20 ปี เขาเป็นนักแต่งที่สามารถที่สุดผู้หนึ่ง และสักวันหนึ่งข้างหน้านี้โลกจะต้องยอมรับในความยิ่งใหญ่ของเขา ทั้งในทางเพลงที่ใช้ร้องและบรรเลงด้วยวงดนตรี เขาสามารถทั้งสองอย่าง” จากบทความชิ้นนี้เองมำให้ ชื่อบราหมส์เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการ ดนตรีของยุโรป ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ได้รับการต้อนรับ และเป็นที่เชื่อถือกันในวงการทั่วไป นับว่าคำทำนายของชูมันน์กำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว และจากความศรัทธาอย่างแรงกล้าของชูมันน์นั่นเองทำให้เขาเขียนจดหมายติดต่อไป ยังสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงเช่น Breitkopf และ Hartel เพื่อชักชวนให้เป็นผู้จัดพิมพ์งานของบราหมส์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันตายของชูมันน์คือ 3 ปี หลังจากนั้น บราหมส์ให้ความเคารพนับถือในตัวชูมันน์ อย่างไม่มีอะไรเปรียบ และได้สนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ คือเข้านอกออกในในบ้านของชูมันน์ได้อย่างสบาย และที่สำคัญที่สุดก็คือรู้จักชอบพอกับคลารา ชูมันน์ (Clara Schumann) ภรรยาของชูมันน์เป็นอย่างดี และบราหมส์ก็ให้ความเคารพอย่างสูงแก่เธอด้วย จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังเมืองไลพ์ซิก ที่นี่บราหมส์ก็ได้พบกับ Hector Berlioz ( 1803 – 1869) นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงชาวฝรั่งเศส และได้แสดงคอนเสิร์ตด้วยเพลงของเขาเอง 2 เพลง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1853
ค.ศ. 1854 บราหมส์ได้กลับมาที่ Dusseldorf
อีกครั้งหนึ่ง พอดีกับระยะนี้
โรเบอร์ต ชูมันน์
ผู้ที่เขาเคารพนับถือเกิดอาการวิกลจริตขึ้นและพยายามจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง บราหมส์ต้องคอยดูแลช่วยเหลือคลารา ชูมันน์ เกี่ยวกับเรื่องยี้อยู่จนกระทั่งชูมันน์ถึงแก่กรรม ในปี ค.ศ. 1856 ค.ศ. 1855 บราหมส์ได้หางานทำโดยเป้นครูสอนดนตรีอยู่ใน Dusseldorf ค.ศ. 18756 ได้หาโอกาสเดินทางไปกรุงบอนน์และได้ไปแสดงคอนเสิร์ตที่โคโลญ (Cologne) และกรุงบอนน์ร่วมกับ Julius Stockhausen นักร้องที่มีชื่อเสียง เมื่อชูมันน์ถึงแก่กรรมแล้ว บราหมส์ยังคงอยู่ใกล้ชิดสนิสนมกับคลาราเช่นเคย ความสนิทสนมระหว่างคนทั้งสองนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้เองก็มีเสียงซุบซิบนินทากันทั่วไปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับ คลารา เรื่องซุบซิบนินทานั้นได้แพร่สพัดไปในทางอกศุลว่า ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันฉันท์ชู้สาว และลือกันว่าบราหมส์คือพ่อของลูกคนสุดท้ายของคลาราแต่ใครจะลืออย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนยังคงรักษามิตรภาพ ไว้โดยไม่สะทกสะท้านต่อข่าวอกุศลเหล่านั้น ความจริงแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้นมีความรักต่อกันอย่างคนที่เคารพ นับถือกันอย่างแท้จริง คลารามีอายุแก่กว่าบราหมส์ถึง 14 ปี
ค. ศ. 1857 บราหมส์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายวงดนตรีให้แก่
Prince Lippe – Dermold
งานในหน้าที่ของเขาเป็นงานไม่หนักมากนัก เขาจึงมีเวลาพอที่จะแต่งเพลงต่าง ๆ ขึ้นมาหลายเพลง เป็นต้นว่าเพลงสำหรับเล่นกับวงออร์เคสตรา ซึ่งได้แต่งขึ้นเป็นครั้งแรก นอกจากนั้นยังมีเพลง Serenade 2 เพลง , และเพลง Piano concerto No.I, in D minor และยังมีเพลงอื่น ๆ อีกนอกจากนั้น บราหมส์ยังได้เป็นครูสอนเปียโนให้แก่เจ้าหญิงเฟรเดริค (Princess Friderike) และได้กำกับวงดนตรีให้แก่สมาคม ‘The Choral Society’ อีกด้วย ค.ศ. 1858 เดินทางไปตากอากาศที่ Gottinggen
ค.ศ. 1859 บราหมส์ได้นำเพลง Piano
Concerto No.I, in D minor ออกแสดงที่
แฮโนเวอร์ (Hanover) และ ที่ไลพ์ซิก (Leipzig) โดยวงดนตรีของ
Gewahdhaus Orchestra เมื่อวันที่ 22 มกราคม และ 27 มกราคม ค.ศ. 1859
แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อจากนั้นบราหมส์ก็ได้ตำแหน่งผู้กำกับวงดนตรีให้แก่ Women’s Choir ที่เมืองแฮมเบอร์ก พอถึงฤดูใบไม้ร่วงเขาก็เดินทางกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่เดทโมลด์ (Detmold) ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ พอถึง ค.ศ. 1860 บราหมส์ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับวงดนตรีของเจ้าชาย Lippe – Detmold แล้วเดินทางออกจากเดทโมลด์ในเดือนมกราคมไปยังแฮมเบอร์ก และใช้เวลาอยู่ที่นั่น 2 ปี และได้เป็นผู้กำกับวงดนตรีให้แก่ Women’s Choir อีกครั้งหนึ่ง พอถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1862 ก็เดินทางไปเวียนนาเป็นครั้งแรก และค.ศ. 1863 เขาเดินทางมาเวียนนาอีกครั้ง และได้แสดงคอนเสิร์ตด้วยเพลง Piano Quarte, Op.25 ซึ่งเป็นของเขาเอง จากนั้นก็เดินทางไปเยี่ยม ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) ที่ Penzing เมื่อวันที่ 6 มกราคม พอถึงฤดูใบไม้ผลิเขาก็ได้รับเชิญให้มาเป็นผู้กำกับวงดนตรีของ Singakademie ในเวียนนา เขาจึงตกลงใจที่จะทำงานเป็นหลักแหล่งที่นี่ในเดือนสิงหาคม หลังจากที่ได้ผิดหวังจากตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีของ Hamburg Philharmoni Orchestar มาแล้ว
ปีรุ่งขึ้นคือ ค.ศ. 1864 บราหมส์ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้กำกับวงดนตรี
Singakademie
แต่ก็ยังคงพำนักอยู่ในเวียนนา พอถึงฤดูร้อนก็เดินทางไปยัง Barden – Baden คลารา ชูมันส์เดินทางมาพบเขาที่นั่นด้วย ค.ศ.1865 ได้ทราบข่าวว่าแม่บังเกิดเกล้าได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์ ที่เมืองแฮมเบอร์ก ข่าวนี้ทำความเศร้าใจมาสู่เขาไม่น้อย พอถึง หน้าร้อนก็เดินทางไปพักผ่อนที่Baden–Baden เช่นเคย และใช้เวลาในฤดูใบไม้ ร่วงและฤดูหนาวออกตระเวน แสดงคอนเสิร์ตไปเรื่อย ๆ และไปถึงเมือง Karlsruhe ในปี ค.ศ. 1866 และได้เริ่มแสดงเพลงประเภท Choral work ซึ่งนับเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่เพลงหนึ่งชื่อ Ein Deutsches Requiem (German Requiem) ซึ่งเป็นเพลง Opus 45 ไปแต่งเสร็จเอาที่เมือง Baden – Baden ในเดือนสิงหาคม แต่ยังคงเหลือ No.5 ที่ยังแต่งค้างอยู่ จากนั้นก็ตระเวนแสดงคอนเสิร์ตไปกับ Joachim ในเดือนตุลาคม แล้วก็เลยแวะไปเยี่ยมพ่อที่เมืองแฮมเบอร์ก กลับมาถึงเวียนนาในเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน พอถึงปี 1867 ก็เดินทางตระเวนไปแสดงคอนเสิร์ตที่ออสเตรีย และปูดาเปส ฮังการี (Budapest, Hungary) ในฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูใบไม้ร่วง กลับมาถึงเวียนนาในเดือนธันวาคม แล้วนำบางตอนของเพลง Requiem ออกแสดง บราหมส์ออกตระเวนแสดงคอนเสิร์ตไปกับ Julius Stockhausen ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1768 ได้เปิดการแสดงเพลงร้องที่ยิ่งใหญ่ของเขาชื่อ Ein Deutsches Requiem (German Requiem) การแสดงครั้งนี้เป็นการแสดงเพลงที่สมบูรณ์ทุกตอนของ German Requiem นอกจาก No.5เท่านั้น ซึ่งนับเป็นการแสดงครั้งแรก ณ เมือง Bremen เมื่อวันที่ 10 เมษายน นอกจากแสดงเพลง Requiem แล้วยังมีเพลงร้องเด่น ๆ อีกหลาย ๆ เพลง เช่น Rinaldo, the Liebeslieder (Love Songs) the Alto Rhapsody, the Schicksakslied (Song of Destiny) ต่อมาปี ค.ศ. 1869 ได้เปิดการแสดง German Requiem ที่เสร็จสมบูรณ์ทุกตอนเป็นครั้งแรกที่ Gewanhaus ในไลพ์ซิก กำกับดนตรีโดย Reinecke เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เพลงนี้เองทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก
อีก 2 ปีต่อมาคือ ค.ศ. 1871 บราหมส์ก็ได้แต่ง Triumphlied (Song of Triumph)
Op.55
ขึ้นเพื่อเป็นการฉลองชัยชนะของเยอรมันที่ทำสงครามกับ France – Prussain เมื่อเปิดการแสดงที่ใดประกฏว่ามีคนเข้าชมกันอย่างเนืองแน่นเกินความคาดหมาย ปีต่อมาพ่อของบราหมส์ได้ถึงแก่กรรมที่แฮมเบอร์กเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1872 นำความสลดใจมาสู่เขาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากไปพักผ่อนที่ Baden – Baden แล้ว บราหมส์ก็เดินทางมายังเวียนนา และได้เข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีของ Gesellschaft der Musik freunde (SocietyoftheFriendsofMusic) สืบต่อจากRubinstein
บราหมส์ ได้แต่งเพลงสำหรับบรรเลงกับวงออร์เคสตราขึ้นเป็นครั้งแรก
คือ Variations on a Theme of Haydn ได้นำออกแสดงให้ประชาชนฟังเป็นครั้งแรกที่เวียนนา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1873
โดยวงดนตรีเวียนนา ฟิลฮาร์โมนิค (Vienna Philharmonic) ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ จากความสำเส็จในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งจูงใจให้เขาพยายามสร้างสรรเพลงประเภทที่ ใช้บรรเลงกับวงออร์เคสตราขึ้นอีก
ค.ศ. 1874 บราหมส์ได้เดินทางไปยังเมืองไลพ์ซิก
ได้รู้จักกับ Heinrich von Herzogenberg
(1853 – 1900) นักเปียโนและนักแต่งเพลงชาวออสเตรียน และ Spitta ตลอดจนคนอื่น ๆ อีกหลายท่าน พอถึงหน้าร้อนก็เดินทางไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์แถบใกล้ ๆ เมือง ซูริค (Zurich)
บราหมส์ได้ลาออกจากผู้กำกับวงดนตรีของ Gesellschaft der
Musikfreunde ในปี ค.ศ. 1875
จากนั้นก็ได้เริ่มแต่งเพลง Symphony ขึ้นเป็นเพลงแรก และไปเสร็จเอาในปี ค.ศ. 1876 ซึ่งนับว่าเป็น Symphony No.1 และเป็น Symphony ที่มีความสำคัญมากที่สุดเพลงหนึ่ง ที่ได้แต่งขึ้นภายหลังเบโธเฟน เพลง Symphony No.1 นำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่ Karlsruhe เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน โดย Dessoff เป็นผู้กำกับดนตรีและต่อมาก็ได้นำออกแสดงที่ Mannheim และ Munich โดยบราหมส์เป็นผู้กำกับดนตรีเอง
จากความสามารถของบราหมส์ ทางมหาวิทยาลัยเครมบริดจ์
(University of Cambridge)
ได้เสนอมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ (Honorary doctor’s degree) ให้แก่เขาในปี ค.ศ. 1877 แต่บราหมส์ปฏิเสธและในปีนี้เขาเริ่มแสดงเพลง Symphony No. 2 ขณะที่พักตากอากาศในฤดูร้อนที่ทะเลสาบ Worth เมือง Portshach และไปเสร็จที่เมือง Lichtenthal ใกล้ ๆ กับ Baden – Baden ในฤดูใบไม้ร่วง ได้เปิดการแสดงขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเวียนนา โดยวงดนตรีของเวียนนา ฟิลฮาร์โมนิค เมื่อวันที่ 30 ธันวา โดยมี Richter เป็นผู้กำกับวงดนตรี ค.ศ. 1878 บราหมส์ได้เดินทางไปอิตาลี และได้ใช้เวลาในฤดูร้อนตากอากาศที่ Portschach เช่นเดียวกับเมื่อปีที่แล้ว ต่อมา ค.ศ. 1879 ได้เปิดการแสดงเพลงไวโอลินคอนเซอร์โตที่ Gewandhaus ในไลพ์ซิกร่วมกับ Joachim และในปีนี้เองทางมหาวิทยาลัยเบรสลือ (University of Breslau) ได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาปรัชญา (Honorary degree of Doctor of Philosophy) เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาสืบไป ในปริญญาบัตรนั้นเขียนไว้ว่า ‘The foremost living German master of the art of strict composition’
บราหมส์ได้แต่งเพลงโอเวอร์เจอร์ชื่อ Academic
Festival Overture
โดยอาศัยเค้าโครงจากเพลงของนักศึกษาเยอรมันในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น และอีกเพลงหนึ่งคือ Tragic Overture และได้นำออกแสดง ณ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย Breslau เมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1881 หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังฮอลแลนด์และฮังการีในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ขณะที่อยู่ในปูดาเบสนั้น บราหมส์ได้พบกับลิสท์อีกครั้งหนึ่ง พอถึงฤดูใบไม้ผลิเขาก็เดินทางไปยังซิซิลี และได้ไปพักตากอากาศในฤดูร้อนที่เมือง Pressbaum ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากนครเวียนนาเท่าใดนัก จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังสตุทการ์ทและได้เปิดการแสดงคอนเสิร์ตด้วยเพลง Piano Concert No.2 เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1881 โดยบราหมส์เป็นผู้เดี่ยวเปียโน และในปีรุ่งขึ้นเขาก็ได้นำเพลงนี้ไปแสดงตามที่ต่าง ๆ อีกหลาย ๆ แห่ง พอถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1882 ก็เดินทางไปอิตาลี จากนั้นบราหมส์ก็ได้แต่งเพลง Symphony No.3 เสร็จภายในฤดูร้อนปีนั้นเองที่เมือง Wiesbaden และได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรกโดยวงดนตรี Vienna Phiharmonic Society เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1883 ในความควบคุมของ Richter
ค. ศ. 1884 บราหมส์ได้ลงมือแต่งเพลง
Symphony No.4 ในระหว่างฤดูร้อนที่เมือง Murz
Zuschlag
ใน Styria (ออสเตรีย) และได้เสร็จสมบูรณ์ในระหว่างที่พักผ่อน ณ ที่แห่งนั้นเอง ใน ค.ศ. 1885 ได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่ Meiningen ในความควบคุมวงดนตรีของ Hans Von Bulow จากนั้นก็ได้เปิดการแสดงเพลงซิมโฟนี่ หมายเลข 4 ที่เวียนอีกในการอำนวยโดย Richter เมื่อวันที่17 มกราคม และที่ไลพ์ซิกในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1886 และต่อมา วันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1886 ที่เมืองแฮมเบอร์กโดยบราหมส์เป็นผู้ควบคุมวงดนตรีด้วยตัวเขาเอง ต่อจากนั้นก็นำออกแสดงที่เมือง Thun ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
ค.ศ. 1887 บราหมส์ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลีกับ
Kirchner
และ Simrock ไปจนถึงเมือง Thun สวิสเซอร์แลนด์ในฤดูร้อน ต่อมาในเดือนมกราคม ค.ศ.1888 บราหมส์ได้พบกับไชคอฟสกี้ (Tchaikovsky) จากนั้นเขาใช้เวลาในฤดูใบไม้ผลิเดินทางท่องเที่ยวไปยังอิตาลี แล้วได้เดินทางไปพักตากอากาศในฤดูร้อนที่เมือง Thun อีกครั้งซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3
จากความสามารถในการแต่งเพลงต่าง ๆ มากมายจนมรชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วยุโรป
จึงทำให้จักรพรรดิฟรังซิส โจเซฟที่ 1 (Emperor Francis Joseph I 1830 – 1916) แห่งออสเตรีย ได้ทรงพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ออร์เดอร์ ออฟ ลีโอโปลด์ (Order of Leopold) ให้แก่ บราหมส์ในปี ค.ศ. 1889 ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงที่นักดนตรีพึงจะได้รับ
ในระหว่าง ปี ค.ศ. 1890 – 1893 บราหมส์ก็ใช้เวลาว่างท่องเที่ยวไป
ๆ มา ๆ
อยู่ระหว่างอิตาลีกับ Ischi ค.ศ. 1895 เขาได้ตระเวนไปเยอรมันกับ Muhlfeld แล้วก็เดินทางไปพักผ่อนในฤดูร้อนที่ Ischi แล้วเดินทางไปยัง Meiningen, Franlfert, และสวิสเซอร์แลนด์
เมื่อ ค.ศ. 1896 เดือนพฤษภาคม
บราหมส์ได้รับโทรเลขจากเมือง Frankfert am Main
เป็นโทรเลขของ Marie Schumann ลูกสาวคนโตของคลารา และ โรเบอร์ต ชูมันน์ ซึ่งเธอได้แจ้งว่า “คุณแม่คลาราได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว” เมื่อได้รับข่าวนี้แล้ว บราหมส์ก็ต้องรีบเดินทางไปยังเมือง Frankfert เพื่อร่วมในพิธีฝังศพของคลารา ชูมันน์ ศพของคลาราได้ฝังไว้เคียงข้างหลุมศพของ ชูมันน์ผู้เป็นสามี บราหมส์ได้เป็นคนโปรยดินลงในหลุมฝังศพจนเสร็จเรียบร้อย
หลังจากพิธีฝังศพคลาราแล้ว บราหมส์รู้สึกไม่สบายและปวดศีรษะเล็กน้อย
เขารีบเดินทางกลับไปที่เวียนนา
จากนั้นสุขภาพของเขาก็ทรุดโทรมลงมาก บราหมส์ได้เดินทางไปยังเมือง Carlsbad ในเดือนกันยายน เพื่อให้หมอตรวจสุขภาพ เมื่อหมอทำการตรวจร่างกายของเขาแล้ว ก็พบว่าเขาเป็นโรคมะเร็งในตับซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรง เขารู้สึกตกใจมาก จากนั้นก็ได้เดินทางกลับมาถึงกรุงเวียนนาในเดือนตุลาคม ถึงเขาจะเสียกำลังใจอย่างมากก็ตาม บราหมส์ก็ยังได้เปิดการแสดงคอนเสิร์ตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในวันที่ 7 มีนาคม การแสดงคราวนี้นับว่าเป็นการปรากฏตัวต่อประชาชนเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ บราหมส์ก็ได้ถึงแก่มรณกรรมที่เวียนนาในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1897 ด้วยโรคมะเร็งในตับ รวมอายุได้ 64 ปี ศพของเขาได้กระทำพิธีฝังไว้ที่สุสาน Central Cemetery อยู่เคียงข้างหลุมศพของชูเบอร์ตนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น