เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี(โดยไม่เจตนา) โดย ศ นพ วิทยา นาควัชระ
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง
ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว
ถือว่าเป็นกรณีศึกษา และเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน
ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก
แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดี
แต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9
ปี
ลูกทั้งคู่ แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง
กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่งพ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน
ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียง หรือไม่สนใจครั้งล่าสุดนี้
ลูกฃายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที
ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ
1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไปพ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าวผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อเขาบอกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลยเพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลยครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆ
ไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้ และหนีไปเฉยๆ
จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า
ทำไงดี……หมอครับ?
ตัวอย่างที่ 2
พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี
ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ครั้งล่าสุดนี้
แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตก และหนีออกจากบ้านไป
พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไรทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูกแม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า
ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี เธอถามผมว่า….หมอ….ทำไงดี?…..อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว
!!!จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ
เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง
อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง
ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่
ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษา ของที่ทำงาน
และแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง เรียกว่าเติบโตต่อไป
ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก…..ยากไปหมดทุกอย่าง
แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆก็ทำผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า…..ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ
เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆ
และไม่ชมเชย หรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว
มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย
ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์
เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง
ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ ในช่วงนั้นๆ
ผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง
และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด
ถ้าเป็นผมผมจะตีเด็กใช้มือตีก้นเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า…..แหมหมอเหี้ยมจัง แต่ผมเชื่อว่า การถูกตีหรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆนั้นเด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม
เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย ผมยังพูดอีกด้วยว่า……"จำไว้
ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ
ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก"สิบกว่าปีผ่านไป
เด็กๆยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้
ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย
ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน
พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด
ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า
ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ โดยส่วนตัวผมเองแล้ว
ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆรูปแบบ
และต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์
ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย
เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล
ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์
หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริง และต้องทันสมัย
ทันเหตุการณ์ด้วยในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆที่ผมเคยได้ไปศึกษามา วัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย
ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ
แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก
เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย และที่แน่นอนคือ
พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก
จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า
เลี้ยงลูกผิดซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรือ
อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้ ผมหนาวในหัวใจจังครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น