ลานท้องทุ่งสู่ลานวัด ทุ่งนาเมืองพิษณุโลกเป็นที่วิ่งเล่นสำหรับเด็กทั่วๆไป เด็กชายวิศรุต ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่วิ่งเล่นตามท้องทุ่งนากว้างๆ เลี้ยงควาย ยิงนก ตบปลา ตามประสาลูกชาวนาและวิถีท้องถิ่น และแล้ววันนึงหลวงพ่อวัดยางเอนได้รับอุปการะครอบครัวครูดนตรีไทยมาอาศัยอยู่ที่วัดและได้ทำการซื้อเครื่องดนตรีไทยพร้อมทั้งป่าวประกาศให้ลูกๆหลานๆ ชาวบ้าน ชาวนาในชุมชนมาฝึกหัดดนตรีไทยกันที่ลานวัดยางเอน ในช่วงแรกๆได้มีเด็กๆมาเล่นด้วยกันมากเป็นจำนวนได้สามสิบคน เครื่องมือชิ้นแรกเด็กชายวิศรุตเรียนคือฆ้องวงใหญ่เพลงแรกที่เรียนคือเพลงสาธุการ
ลานวัดเริ่มสนุกเลยมาผุดชมรมดนตรี โรงเรียนท่าทองพิทยาคม โรงเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นของเด็กชายวิศรุต ความรักความสนุกในดนตรีทำให้ชีวิตในโรงเรียนก็จะมาอยู่ที่ชมรมดนตรีไทย ต่อเพลง บรรเลงเพลง แสดงเพลงตามวิถีนักเรียนชมรมดนตรี
ดนตรี กีฬา ต้องกล้าเลือก ที่จริงแล้วอีกมุมหนึ่งของเด็กชายวิศรุตนั้นก็มีความชอบความใฝ่ฝันทางกีฬาไม่แพ้ทางดนตรีเลยทีเดียว สมัยเด็กเป็นนักวิ่งให้โรงเรียน ชอบเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ แต่ในที่สุดมาเป็นนักกีฬาปิงปองตัวโรงเรียน เป็นนักชกมวยงานวัดล่าเงินรางวัลแทบทุกๆงานวัดที่มีลานกีฬามีการแข่งขันมวยก็จะมีเด็กชายวิศรุตขึ้นชกมวย ความใฝ่ฝันทางกีฬาของเด็กชายวิศรุตก็น่าจะไปไกลถึงนักกีฬาทีมชาติประมาณอย่างนั้น ทำให้ชีวิตต้องเลือกในมัธยมศึกษาตอนปลายว่าจะเรียนโรงเรียนกีฬาหรือโรงเรียนดนตรีดี เก่งและเอาดีได้ทั้งสองอย่างแต่ด้วยความคิดในใจที่ว่า การเอาโลก... มาเป็นตัวตั้งเพื่อที่จะหาบทสรุปว่าจะเรียนอะไร ก็มีความคิดที่ว่าถึงจะเก่งกีฬาอย่างไรก็คงจะทำให้เก่งที่สุดในโลกได้ยาก แต่ถ้าเรียนเรียนดนตรีไทยก็คงจะสามารถที่จะเป็นที่หนึ่งของโลกได้อย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีฝรั่งคนไหนที่จะเก่งดนตรีไทยมากกว่าคนไทยแน่ๆ จึงทำให้ในที่สุดเด็กชายวิศรุตสอบคัดเลือกเข้าเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย
ถนนดนตรี เส้นทางทีเลือกแล้ว แม้จะต้องเดินทางข้ามจังหวัดมาเรียนที่สุโขทัยนายวิศรุตก็ไม่ย่อท้อเพราะเลือกและมุ่งมั่นที่จะเอาดีทางสายดนตรี ในที่สุดนายวิศรุตก็ได้มาเข้าเรียนระดับชั้นกลางปีที่ ๑ ที่วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย โดยยังเรียนวิชาเอกปี่พาทย์ในเครื่องดนตรีชิ้นเอกที่เลือกเรียนก็คือ ระนาดเอก โดยในวิถีของนักเรียนทีวิทยาลัยนาฏศิลป์จะวัดความเท่ห์ ความดัง ความเก่งหรือความสามารถกันที่งานหลวง การได้ออกงานหลวงจึงเป็นความฝันของเด็กๆในวิทยาลัยฯ แต่ที่ด้วยในรุ่นใกล้เคียงกับนายวิศรุตมีนักระนาดรุ่นพี่ที่ชื่อพี่เบิ่ง นายทวีศักดิ์ อัครวงศ์ ที่ตีระนาดเอกได้เก่งมากจนเป็นที่ยอมรับและ ด้วยความมุ่งมั่นของนายวิศรุตที่จะเอาดีทางดนตรีให้ได้ จึงหักเหเริ่มมาเรียนปี่ ครูปี่คนแรกคืออาจารย์อวยชัย สิทธิโชค จนทำให้ในที่สุดนายวิศรุตก็ได้มาเป็นมือปี่และ ได้เล่นประจำวงดนตรีไทยในงานต่างๆที่เรียกว่างานหลวงนั่นแหละ...
พักการเรียน เล่นดนตรีเป็นอาชีพ หลังจากจบการศึกษาชั้นกลางปีที่ ๓ วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย นายวิศรุตก็ได้เดินทางไปภูเก็ตเป็นนักดนตรีอาชีพให้บริษัทเลิศลักษณ์ไทยโชว์ เป็นคณะการแสดงที่รับงานโชว์ตามโรงแรมที่ภูเก็ต ณ ที่นี่นายวิศรุตถือได้ว่าได้นำวิชาที่เรียนมาออกมาใช้ทุกอย่าง เล่นเครื่องดนตรีทุกชิ้น บางครั้งต้องเป็นทั้งผู้รำ ระบำ โขน ในชุดต่างๆก็ถือได้ว่าได้เรียนรู้และเดินทางสู่ถนนดนตรีสายอาชีพจริงๆ
มุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่า หลังจากนายวิศรุตได้ทำงานอาชีพจริงๆได้ประมาณ ๒ ปีกว่าก็คิดถึงอนาคตที่ดีกว่า จึงกับมาเข้าสู่ระบบการเรียนอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร คณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกดุริยางคศาสตร์ไทย และการมุ่งสู่อนาคตที่ดีกว่าในการกับมาเรียนครั้งนี้ทำให้นายวิศรุตเริ่มที่จะมีเส้นทางสู่ความสำเร็จโดยการคว้า ๒ เหรียญทองเยาวชนดนตรี จากการประกวดเยาวชนดนตรีแห่งประเทศไทยครั้งที่ ๗ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ วิถีทางของการเป็นนักดนตรี พัฒนาการทางด้านดนตรี ความอดทนต่อการฝึกซ้อม ความผูกพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ ความท้อแท้ผิดหวังจากการประกวดก่อเกิดแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดความรักในดนตรีจนสามารถได้รับรางวัลชนะเลิศ ๒ เหรียญทอง นับว่าเป็นความสามรถพิเศษที่ไม่ธรรมดาที่ช่วยเจียระไนเหลี่ยมเพชรให้เปล่งปลั่งประกายแวววาวเจิดจำรัสในแวดวงดนตรี จนเรียกได้ว่านายวิศรุต สุวรรณศรี เป็นเพชรในตรมของชาวดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเลยทีเดียว
เส้นทางที่เลือกอย่างดีที่สุด ปัจจุบันอาจารย์วิศรุต ได้เลือกที่จะเป็นอาจารย์ประจำที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ( ฝ่ายมัธยม ) ได้ร่วมพัฒนาการเรียนการสอน ชมรมดนตรีไทยทนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ปลูกต้นดนตรีไทยให้แก่ชาวเทาแดงเพื่อแสวงหาเพชรในตรมเม็ดต่อๆไปที่จะเกิดขึ้นอีกในแดนดินถิ่นเรานี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น