วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

มหาดุริยกวีร่วมสมัยจากคลาสสิกสู่โรแมนติก หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง)และ ลุตวิก ฟานเบโธเฟน

มหาดุริยกวีร่วมสมัยจากคลาสสิกสู่โรแมนติก
หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)และ  ลุควิก  ฟาน เบโธเฟน 
                                                                                                        
                                                                                          นายยงยุทธ  เอี่ยมสอาด
                    ครูหลวงประดิษฐไพเราะ( ศร  ศิลปบรรเลง)  ได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็น
มหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์  เพราะท่านถือกำเนิดอยู่ลุ่มน้ำแม่กลองที่นับเนื่องอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา  แล้วเจริญรุ่งเรืองอยู่ในกรุงเทพฯที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรง   จากนั้นได้ตระเวนไปตามบ้านเมืองต่างๆในละแวกอุษาคเนย์แล้วได้รับความบันดาลใจจากทำนองเพลงของบ้านเมืองเหล่านั้นมาสร้างสรรค์เพลงไทยได้อย่างหลากหลายสืบทอดมาถึงปัจจุบัน  และคงจะยืนยาวต่อไปนิรันดร
                  
                  ประเทศไทยในรอบร้อยยี่สิบกว่าปี  มีคนเกิดมาบนผืนแผ่นดินนี้มากมายเกิดแก่เจ็บตายด้วยกฏอนิจจัง  หลายคนจากไปอย่างไร้ร่องรอย  หลายคนถูกลืมเลือนด้วยกาลเวลา  หลายคนยังอยู่ในความทรงจำ  อยู่ในความระลึกนึกถึงของผู้คนร่วมสังคมร่วมยุคสมัยได้ฝากผลงานไว้เป็นอนุสรณ์ให้คำนึงถึง  และพลังปัญญา  เป็นเส้นทางให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้และเติบโตก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ  ในจำนวนคนดีมีค่าของแผ่นดินในรอบร้อยยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา  มีหลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง ๒๔๒๔ - ๒๔๙๗ ) สามัญชนจากลุ่มน้ำแม่กลองสมุทรสงคราม  ผู้ที่ควรแก่การได้รับการยกย่องในฐานะมหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์ อยู่ด้วยผู้หนึ่ง   ช่วงชีวิตของหลวงประดิษฐไพเราะเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวอยู่ในยุคที่ดนตรีไทยรุ่งเรืองถึงขีดสุด  มีความสมบูรณ์พร้อมทั้งในด้านมีนักดนตรีที่ความสามรถสูงเกิดมาแสดงฝีมือให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กัน  มีดุริยกวีที่ร่วมกันเนรมิตผลงานดนตรีเอาไว้ในแผ่นดินมากมาย  มีผู้ฟังและผู้ที่สามารถให้การอุปถัมภ์ค้ำชูนักดนตรีให้มีชีวิตอยู่สุขสบาย  มีความมั่นคงในทางเศรษฐกิจและ สังคม  ถือเป็นช่วง

     
                         ๑
             อานันท์ นาคคง, อัษฎาวุธ สาคริก,สุจิตต์ วงษ์เทศ.หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)มหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์.(กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน,๒๕๔๔)หน้า๑๓,๒๑
                                                                                                                      
           
ยุคทองของดนตรีไทยทีเดียว  ก่อนที่จะล้าแรงและร่วงโรยลงในกาลต่อมา ถ้าคำกล่าวที่ว่าชีวิตคือการเดินทางเป็นจริง  บทเพลงนับร้อยนับพันของครูหลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)  คือบันทึกการเดินทางเล่มใหญ่ที่ควรค่าแก่การศึกษาและจดจำ  เป็นบทบันทึกที่ผ่านการกลั่นกรองด้วยความรู้สึกนึกคิด  ความสะเทือนใจ  ความประทับใจในเบื้องลึกของอารมณ์ศิลปินที่ได้สั่งสมมาตลอดชั่วอายุขัยของคีตกวี ๕ แผ่นดินของท่าน
  โลกาภิวัฒน์ โลกไร้พรมแดน  มิใช่พึ่งเกิดเมื่อไม่กี่ปีนี้  หากแต่เริ่มต้นมานานแล้วในยุคที่สยามประเทศเริ่มย่างก้าวเข้าสู่อารยธรรมแผนใหม่และความเกี่ยวข้องทางวัฒนธรรมดนตรีตะวันตก  ในช่วงที่หลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง )กำลังรุ่งเรืองทางดนตรีไทยในอีกซีกโลกหนึ่ง  โลกดนตรีตะวันตกก็มีคีตกวีท่านหนึ่งได้แก่  ลุควิก  ฟาน  เบโธเฟน ( Ludwig van Beethoven ) ผู้ประพันธ์เพลงชาวเยอรมัน  ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกดนตรีตะวันตก  เป็นผู้นำในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก  เบโธเฟน นำเสนอผลงานที่มีลักษณะของความเป็นตัวของตัวเอง  เนื้อหาเพลงเต็มไปด้วยการแสดงออกทางอารมณ์อย่างเด่นชัด  ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกแตกต่างไปจากการฟังเพลงตามแนวยุคคลาสสิก
             อย่างไรก็ดีความเหมือนในสองคีตกวีของสองซีกโลก ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านได้มีแนวทางเป็นตัวของตัวเองโดยเด่นชัดจึงสามารถสร้างจุดเปลี่ยนทางดนตรีได้    อทิเช่น  หลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง )  กับการประชันระนาดครั้งสำคัญโดยการเชิดต่อตัวได้สร้างจุดเปลี่ยนในการตีระนาดเอก 
           ๒
              กล่าวคือการตีระนาดเอกที่เป็นแบบแผนโบราณอย่างพระยาเสนาะดุริยางค์หรือนายแช่มที่ตีระนาดไหวแบบเก่าคือ  ตีในลักษณะแม่มือที่เป็นคู่ ๘  ประกอบกับการรักษาความเจิดจ้าชัดเจนของเสียงระนาดไม่ยอมตีระ  หรือเกลือกให้เสียเสียง  ยิ่งตีไหวจ้ามากขึ้นเท่าใดก็ต้องใช้กำลังแขนไหล่มากขึ้นเท่านั้น  แต่หลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง )ได้สร้างจุดเปลี่ยนในการตีระนาดแบบใหม่โดยการตีระนาดที่ใช้ไหวพริบเปลี่ยนทางเพลงได้รวดเร็วและไพเราะ  ตั้งแต่นั้นมาทางระนาดแบบโลดโผนวิจิตรพิสดารคือการสะบัด  รัวขยี้  แบบต่างๆของหลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง ) ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายมากกว่าจนถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนยุคสมัยในความนิยมการตีระนาดก็ว่าได้  นอกเหนือจากการคิดค้นวิธีการตีระนาดอย่างที่กล่าวมาแล้วยังเป็นผู้สร้างเพลงตีระนาดด้วยวิธี กรอ อย่างอ่อนหวานเป็นแบบฉบับอีกด้วย 

             
             อานันท์ นาคคง, อัษฎาวุธ สาคริก,สุจิตต์ วงษ์เทศ.หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)มหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์.(กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์มติชน,๒๕๔๔)หน้า๖๕
ตารางการเปรียบเทียบมหาคีตกวีร่วมสมัยหลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง ) และ ลุควิก  ฟาน  เบโธเฟน


ยุคคลาสสิก
ค.ศ. ๑๗๕๐ - ๑๘๒๐
Classical Period
ยุคโรแมนติก
ค.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๙๐๐
Romantic Period

หลวงประดิษฐไพเราะ( ศร  ศิลปบรรเลง )
พ.ศ.๒๔๒๔ ๒๔๙๗

บรรเลงระนาดเอกถวายสมเด็จกรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดชต่อมาประทานยศเป็นจางมหาดเล็ก
บรรเลงระนาดแบบใหม่โดยการตีระนาดที่ใช้ไหวพริบเปลี่ยนทางเพลงได้รวดเร็วและไพเราะ  ตั้งแต่นั้นมาทางระนาดแบบโลดโผนวิจิตรพิสดารคือการสะบัด  ขยี้  แบบต่างๆ  ก็ได้รับความนิยมแพร่หลายมากกว่าจนถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนยุคสมัยในความนิยมการตีระนาดก็ว่าได้


ลุควิก ฟาน เบโธเฟน
(Ludwig van Beethoven )
ค.ศ. ๑๗๗๐ - ๑๘๒๗
เติบโตมากับสภาพแวดล้อมทางดนตรีจึงทำให้รักและเรียนรู้ดนตรีเป็นอาชีพจนได้รับความสำเร็จสูงสุดในการแสดงคอนเสิร์ต
เบโธเฟนเป็นผู้นำในการประพันธ์เพลงในรูปแบบใหม่ในลักษณะดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ประพันธ์  ไม่จำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์แน่นอนตายตัว  ดนตรีในยุคนี้จึงมีทั้งดนตรีบริสุทธิ์   และดนตรีบรรยายเรื่องราว   เป็นผู้นำดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก






                   เช่นเดียวกันกับ  เบโธเฟนเป็นผู้นำในการประพันธ์เพลงในรูปแบบใหม่ในลักษณะดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ประพันธ์  ไม่จำเป็นต้องมีกฏเกณฑ์แน่นอนตายตัวดังยุคคลาสสิกอีกต่อไป  ดนตรีในยุคนี้จึงมีทั้งดนตรีบริสุทธิ์ ( Absolute Music )  และดนตรีบรรยายเรื่องราว
( Program Music )  เป็นผู้นำดนตรีในรูปแบบใหม่จากยุคคลาสสิกมาสู่ยุคโรแมนติก
      จุดเปลี่ยนทางดนตรีของสองคีตกวีสองซีกโลกอย่างหนึ่งที่เห็นได้เด่นชัดก็คือลีลาของดนตรี ( Style ) ลีลาของดนตรีที่สื่อความหมายความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ  ความไม่เหมือนใคร  ความเป็นส่วนตัว  ในส่วนของดนตรีนั้นความหมายของคำว่าลีลามักจะเข้าใจกันว่า  หมายถึงลีลาของนักดนตรี นักร้องแต่ละคนอย่างไรก็ตาม  หากพิจราณาถึงความหมายของคำในเชิงดนตรี โดยยึดหลักอักษรศาสตร์แล้วคำว่าลีลาจะมีความหมายครอบครุมไปถึงลักษณะพิเศษของการเล่นดนตรีของศิลปินแต่ละคน  ลักษณะดนตรีของแต่ละสกุล  ( School )  และลักษณะของดนตรีในแต่ละยุคสมัย ( Period )
          Oxford Advanced Learner’s Dictionary of Current English  ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า Style ไว้อย่างกะทัดรัดดังนี้ Manner of Writing or Speaking, manner of doing anything, esp. when it is characteristic of an artist or a period of art. ซึ่งหมายถึงลักษณะลีลาของการเขียนหรือการพูด  ลักษณะท่าทีของการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นลักษณะเฉพาะของศิลปินเป็นรายบุคคล  หรือยุคสมัยของศิลปะสมัยใดสมัยหนึ่ง
           ลีลาของผู้ประพันธ์เพลงนั้น  รู้จักกันในหมู่นักดนตรีไทยว่า ทางครู หรือลีลาของการประพันธ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของครูผู้ประพันธ์เพลงคนใดคนหนึ่ง  ฉะนั้น ทางครู ในดนตรีไทยสามรถเปรียบเทียบได้กับ สำนวนประพันธ์ ในส่วนของงานสร้างสรรค์ด้านวรรณกรรมนั่นเอง  เพลงไทยที่ขับร้องและ บรรเลงสืบต่อมาจนกระทั่งทุกวันนี้มีเพลงไทยจำนวนหนึ่งที่มีชื่อเป็นเพลงเพลงเดียวกัน  แต่มีคนแต่งมากกว่าหนึ่งคน  การที่มีผู้แต่งมากกว่าหนึ่งคนนั้น  ไม่ใช่เป็นการแต่งร่วมในผลงานชิ้นเดียวกัน  แต่เป็นผลงานคนละชิ้นที่แยกกันแต่ง  โดยผลงานเพลงที่แยกกันแต่งนั้นจะมีโครงสร้างหลักของเพลงที่เท่ากัน  มีความยาวของเพลงที่เท่ากัน และใช้จังหวะหน้าทับเดียวกัน เช่นเพลงพม่าห้าท่อน  แขกลพบุรีและเชิดจีนเป็นต้น
            ทางเพลงของครูดนตรีไทยที่นักดนตรีในปัจจุบันนำมาขับร้องและบรรเลงกันโดยทั่วไปในหนึ่งทางที่ไม่เคยจางหายจากความนิยมได้ก็คือทางเพลงของครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง ) มหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์ เช่นเดียวกันในระยะ ๕๗ ปี  ของชีวิตเบโธเฟน  กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างสรรค์ผลงานทางดนตรีในรูปแบบใหม่จากคลาสสิกสู่โรแมนติก  ด้วยความตั้งใจจริงผนวกกับความมีอัจฉริยะภาพ ทำให้เบโธเฟนเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล  บทเพลงของเบโธเฟนยังคงเป็นที่นิยมฟังและนิยมบรรเลงกันตลอดมา  จึงสามารถกล่าวได้ว่าหลวงประดิษฐไพเราะ ( ศร  ศิลปบรรเลง )และ ลุควิก ฟาน เบโธเฟนเป็นมหาดุริยกวีร่วมสมัยจากคลาสสิกสู่โรแมนติก   
                     
บรรณานุกร


เฉลิมศักดิ์  พิกุลศรี. สังคีตนิยมว่าด้วยดนตรีไทย.( ฉบับปรับปรุง ). พิม์ครั้งที่ ๒ . กรุงเทพฯ:
          สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๒.
ณรุทธิ์  สุทธจิตต์.  สังคีตนิยมความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก ( ฉบับปรับปรุงแก้ไข ).พิมพ์ครั้งที่ ๔
               กรุงเทพฯ : สำนักพิพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๖
ปัญญา รุ่งเรือง. ประวัติการดนตรีไทย( ฉบับปรับปรุง ). พิพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพฯ :
               สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๖.
ราชบัณฑิตยสถาน. สารานุกรมศัพท์ดนตรีไทยภาคีตะ ดุริยางค์ ( ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ).
              พิพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : พิมพ์ที่สหมิตรพริ้นติ้ง, ๒๕๔๕.
อานันท์ นาคคง, อัษฎาวุธ สาคริก,สุจิตต์ วงษ์เทศ.หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร  ศิลปบรรเลง)
               มหาดุริยกวีลุ่มน้ำเจ้าพระยาแห่งอุษาคเนย์. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ:
               สำนักพิมพ์มติชน , ๒๕๔๗.
Engine by igetweb.com. การแบ่งยุคสมัยทาประวัติศาสตร์ไทย. ๒๕๕๑.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น