ความเป็นมาและอิทธิพลต่าง
ๆ ที่มีต่อดนตรีในยุคโรแมนติก
ประมาณ ค.ศ. 1820 – 1900
ด้านสังคม การเมืองและ
การปกครอง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
และการปฏิวัติอุตสาหกรรม ดังกล่าวทำให้เมืองต่างๆ
ในอังกฤษกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เริ่มแออัด
ด้วยคนเข้ามาอาศัยในสังคมเมืองเพื่อหางาน
ทำให้เกิดสังคมเมืองกระทบต่อด้านอื่นๆ ด้วย ความก้าวหน้าเหล่านี้ขยายขอบเขตของอุตสาหกรรม
ซึ่งมีผลทำให้ระบบทุนนิยม (Capitalism)
มีอิทธิพลสูงขึ้นมาจนก่อให้เกิดความคิดเป็นปฏิปักษ์ในภายหลัง
นอกจากนี้ เกิดกฎหมายเกี่ยวกับการผังเมือง
รวมทั้งการจัดสร้างสวนสาธารณะก็เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมนี้เช่นกัน ยิ่งคนมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นทำให้ชีวิตมีความสะดวกสบายมากขึ้น
การคมนาคมมีความสะดวกสบายมีการใช้เรือที่มีเครื่องจักรไอน้ำ มีรถไฟ
การสื่อสารมีการใช้โทรเลข
มีโทรศัพท์ มีกล้องถ่ายรูป
การพัฒนาทางด้านการแพทย์ทำให้โรคภัยไข้เจ็บน้อยลง ก่อผลสะท้อนที่เป็นปัญหาใหม่ ๆ ขึ้นมาก
เช่นปัญหาการว่างงาน
ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ
เกิดลัทธิทุนนิยมและลัทธิสังคมนิยมขึ้น
สำหรับลัทธิสังคมนิยมนี้ เขียนโดย คาร์ล
มากซ์
ผู้เป็นนักเขียนชนชั้นกลางชาวเยอรมันได้แนะวิธีการปฎิรูปสังคมด้วยการปฏิวัติ
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสนับเป็นเหตุการณ์สำคัญของโลกและเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสซึ่งไม่เฉพาะแต่ในด้านการปกครองเท่านั้น
ยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ ขนบธรรมเนียม ประเพณี
ตลอดจนความคิดเห็นของราษฎร
ในด้านการปกครองเป็นการโค่นล้มระบบเก่าหรือเรียกได้ว่าภาคประชาชนลุกขึ้นมาล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช
แล้วแต่งตั้งรัฐบาลใหม่ซึ่งให้อำนาจประชาชนในการเลือกผู้นำของตนเอง
โดยอาศัยปรัชญาแนวคิดที่ว่าทุกคนควรจะมีความเท่าเทียมกัน และทุกคนควรจะเติบโตจากตำแหน่งเล็กๆ
ไปสู่ตำแหน่งที่สูงกว่าได้ด้วยความพยายามและความสามารถของคนโดยไม่คำนึงถึงชาติกำเนิดและชนชั้น
การปฏิวัติในฝรั่งเศสนี้เป็นแม่บทของการปฏิวัติต่อมาโดยเฉพาะการปฏิวัติรัสเซีย
นอกจากนี้ในศตวรรษนี้ก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นหลายแห่ง
เช่นเกิดสงครามไครเมีย ในปี1854-1856 สงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกา
ปีค.ศ.1861-1865 และสงครามฟรังโก-ปรัสเซียน ในปีค.ศ.1870-1871
3. วรรณกรรม งานเขียน ในยุคโรแมนติก
แบ่งออกเป็น
2 ยุค คือ ยุคคริสต์ศตวรรษที่ 19 และยุคสัจนิยม (Realism)
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
วรรณกรรมยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่
19
ยุคนี้มีการเปลี่ยนแปลงที่เข้าสู่สังคมแบบอุตสาหกรรม
ทำให้บุคคลกลุ่มหนึ่งในยุคนี้ เริ่มเบื่อหน่ายต่อการเทิดทูนเหตุผลและการใช้ปัญญาความคิด
และหันมาให้ความสนใจต่อความรู้สึกที่ไม่อาจควบคุมได้ อารมณ์แห่งความรักและความประทับใจในความงามหรือศาสนา
ซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล ทั้งนี้ เพราะบุคคลเหล่านี้ต้องการปลดปล่อยจินตนาการของตนเองให้เป็นอิสระจากกฎเกณฑ์และทัศนะที่เห็นธรรมชาติเป็นจักรกล
ศิลปินในยุคนี้ ซึ่งเรียกว่า ยุคโรแมนติค (Romanticism) มีแนวคิดที่แตกต่างไปจากเดส์การ์ต
โดยเห็นว่า “I feel, therefore I am” – “เพราะฉันรู้สึก
ฉันจึงดำรงอยู่” พวกเขาได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ ฌอง ฌาคซ์
รุสโซ ชาวฝรั่งเศสที่ว่า
มนุษย์สามารถหลีกหนีความสามานย์ของสังคมได้เมื่อหันไปหาธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีงามและศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้ ศิลปินในยุคโรแมนติค ยังหันไปหาเรื่องเร้นลับ
แปลกประหลาดเหนือธรรมชาติในโลกแห่งจินตนาการ เช่นเรื่องราวในยุคกลางที่เป็นยุคแห่งการผจญภัยและวีรกรรมอาทิเรื่องเกี่ยวกับอัศวินและเวทมนตร์
ยุคนี้ เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเบ่งบานในหลายประเทศ
หลังจากที่ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา มีการปฏิวัติใหญ่ ทำให้มีการมุ่งเน้น
อุดมคติแห่ง “เสรีภาพ ความเสมอภาค และ ภราดรภาพ”
(Liberty, Equality, and Fraternity) มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีอิทธิพลต่อศิลปินในยุคนี้
ขณะเดียวกัน ความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองหลังการปฏิวัติ ทำให้งานเขียนและศิลปะในยุคนี้
มีลักษณะ “หลีกหนี (escape)” จากความเป็นจริง
ไปสู่โลกแห่งจินตนาการ การปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้คนชั้นสูงหมดอำนาจลง และ การประกาศอิสรภาพจากอังกฤษในสหรัฐอเมริกา
ทำให้สหรัฐฯ เป็นอิสระจากการเป็นอาณา-นิคมในปกครองของขุนนางอังกฤษ ส่งผลให้คนชั้นกลางมีอำนาจมากยิ่งขึ้น
การปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้คนชั้นล่างหลั่งไหลเข้าสู่เมืองใหญ่ คนกลุ่มนี้
มีรสนิยมทางงานเขียนที่แตกต่างไปจากยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการและยุคนีโอคลาสสิกที่ผ่านมา ดังเช่นผลงานของนักเขียนดังต่อไปนี้
- วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท(William Wordsworth: ค.ศ.1770-1850) ชาวอังกฤษ เป็นนักแต่งบทกวีที่ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตนเองเกี่ยวกับชีวิตของคนธรรมดาและเหตุการณ์สามัญที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันในชนบท
ซึ่งคนทั่วไปอาจเห็นว่าไม่มีราคาค่างวดใด ๆ เช่น
บทกวีชื่อ
To the
Daisy เขียนถึงดอกเดซีอันเป็นดอกหญ้าที่ต้อยต่ำ
แต่เขาทำให้ดอกไม้นี้กลายเป็นดอกไม้ที่มีความหมายขึ้นมา
บทกวีชื่อ
She Dwelt
among the Untrodden Ways
กล่าวถึงหญิงสาวธรรมดาที่ชื่อลูซี่ที่มีชีวิตอยู่ทามกลางธรรมชาติในชนบท
บทกวีชื่อ
I
Wandered Lonely as a Cloud ได้พรรณนาว่าการปลดปล่อยอารมณ์ให้เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติรอบตัว
ทำให้หัวใจเปี่ยมสุขและโลดเต้นไปกับดอกเดฟโฟดิลที่เริงระบำอย่างร่าเริงอยู่ในสายลม
นอกจากนี้วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ม
ยังชอบเขียนถึงความเรียบง่ายที่มีความอ่อนหวานและไร้เดียงสาของเด็กเป็นพิเศษ
ดังงานเขียนที่ชื่อ Intimations
of Immortality from Recollection of Early Childhood ซึ่งเขาแสดงความชื่นชมว่าเด็กเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และดีงาม
- แวมวล
เทย์เลอร์ โคลริดจ์(Samuel Taylor Coleridge:ค.ศ.1772-1834)ชาวอังกฤษ มีลักษณะต่างจากบทกวีของวิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ม คือ
เขาชอบเขียนเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติที่มีอยู่ในโลกแห่งจินตนาการและเรื่องในอดีตที่ไกลตัวดังเช่น
บทกวีชื่อ The Rime of the Ancient Mariner ซึ่งเขียนในรูปแบบของบัลลาด
เนื้อเรื่องกล่าวถึงกะลาสีเรือแก่ที่ต้องประสบเคราะห์กรรมกลางทะเลลึก
เพราะเขาทำลายธรรมชาติโดยฆ่านกอัลบาทรอสซึ่งเป็นตัวแทนของธรรมชาติ
ซึ่งถือได้ว่าเป็นกวีที่ยาวที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของแวมวล เทย์เลอร์ โคลริดจ์
- เซอร์วอลเตอร์ สกอต(Sir Walter
Scott : ค.ศ.1771-1832) ชาวอังกฤษ
เขียนนวนิยายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับอัศวินยุคกลาง
การเล่าเรื่องจะออกในแนวผจญภัยที่ระทึกใจของยุคสมัยที่ผ่านมาแล้ว
ตัวละครในเรื่องจะมีหญิงงามที่เศร้าสร้อยและมีวีรบุรุษรูปงามและกล้าหาญ ท่ามกลางเวียงวัง
ปราสาท ผลงานของเขาอย่างเช่น Ivanhoe และ The Talisman
- วิกตอร์
อูโก (Victor Hogo:ค.ศ.1802-1855)
เป็นนักเขียนยุคโรแมนติกที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
ซึ่งเขียนทั้งนวนิยาย บทกวี และบทละคร ผลงานของเขาที่สำคัญเช่น นวนิยายเรื่อง
ไอ้ค่อมแห่งนอตรดาม (The
Haunchback of Notre Dame) และเรื่องที่สำคัญคือ เหยื่ออธรรม (Les
Miserables) ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องของสามัญชนที่ถูกอำนาจคุกคาม
และต้องทุกข์ทน ตัวเอกของเรื่องเป้นผู้กล้าหาญและยอมสละทุกสิ่งให้ผู้ที่ตนรักได้
- วอชิงตัน เออร์วิง (Washington Irving: ค.ศ. 1783-1859) เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน ผลงานของเขาเสียดสีสังคมอย่างมีอารมณ์ขัน
ถึงจะเป็นเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติแต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะเขาจะสอดแทรกอารมณ์ขันเข้าไปด้วย
ซึ่งแตกต่างกับนักเขียนในแถบยุโรป เช่นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายกลัวเมีย ผู้หญิงขมขู่สามี
ซึ่งตัวละครค่อนข้างมีชีวิตชีวา เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ
เรื่อง ริป แวน วิงเคิล(Rip Van Winkle)
เกี่ยวกับชายชื่อริปไปพบพวกคนแคระแลโดนคนแคระให้ดื่มเครื่องดื่มชนิดหนึ่งทำให้หลับไปถึง
20 ปี
ระหว่างนั้นสังคมอเมริกันเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งชายคนนี้ไม่ทราบเรื่องอะไรเลยเปรียบได้กับคนที่ไม่ยอมรับรู้เรื่องอะไรในสังคมของตนเองในขณะนั้นเลย
- เจมส์ เฟนิมอร์ คูเปอร์ (James
Fenimore Cooper:ค.ศ. 1789-1851)
นักเขียนชาวอเมริกัน นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่สุดมีความนิยมทั้งในอเมริกาและยุโรป คือ
เรื่องเดอร์สปาย(The Spy)
เป็นนิยายการผจญภัยของอเมริกาสมัยปฏิวัติ ซึ่งเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้รักชาติ
- นาทาเนียล
ฮอว์ทอร์น (Nathaniel Hawthorne:ค.ศ.1804-1864) ชาวอเมริกันเขียนนวนิยายแนวไสยศาสตร์และเขียนเรื่องสั้นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ความหน้าไหว้หลังหลอกของมนุษย์ที่มีให้กัน
แต่ก็ยังมีการเขียนเกี่ยวกับเรื่องแปลก ๆ
ลึกลับที่เต็มไปด้วยจินตนาการจนได้รับการยกย่องในเรื่องการใช้สัญลักษณ์และตัวละครที่มีจิตใจซับซ้อน
มีการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วในตัวของมนุษย์
- เอ็ดการ์ แอลลันโพ (Edgar Allan Poe:ค.ศ.1809-1849) ชาวอเมริกัน มีความสารถในการเขียนหลายประเภท ทั้งกวีนิพนธ์ เรื่องสั้น
และวรรณคดีวิจารณ์ บทกวีของเขาได้รับอิทธิพลจากกวียุโรป
งานของเขาจึงมีเนื้อหาที่หลากหลาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรยากาศแห่งความตายและความลึกลับน่ากลัวในดินแดนของการจินตนาการ
เช่นงานกวีชื่อ The City in the sea
นอกจากนี้ยังเขียนทฤษฎีการเขียนเรื่องสั้นขึ้นเป็นคนแรก
ซึ่งปัจจุบันก็ยังนำมาใช้เป็นหลักในการเขียนเรื่องสั้น
กวีและนักเขียนโรแมนติกอเมริกันแม้จะได้รับอิทธิพลจากยุโรป
แต่ผลงานก็ยังมีความเป็นเอกลักษณ์ต่างจากยุโรป เช่นผลงานของนักเขียนกลุ่มทรานเด็นทัลลิสม์(Transccendentalism) โดยมีราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน(Ralph Waldo Emerson:ค.ศ.1803-1882) เป็นผู้นำ
นักคิดกลุ่มนี้เน้นเรื่องปัจเจกบุคคล
สามัญสำนึกและเชื่อว่ามนุษย์สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดไปสู่ภาวะที่เหนือเหตุผล
ซึ่งช่วยให้เข้าถึงสัจธรรมและความรู้อันยิ่งใหญ่ได้ด้วย สัญชาตญานของตนเอง
กลุ่มนี้จึงเป็นคตินิยมโรแมนติกแนวปรัชญา เช่นงานเขียนของเอเมอร์สัน
งานเขียนจะเน้นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
เขากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตวิญญาณของมนุษย์กับธรรมชาติ
โดยเน้นความคิดมากกว่าสุนทรียรส ทุกสิ่งทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันไม่มีสิ่งใดดีงามได้เพียงลำพัง
ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของ “ความสมบูรณ์แบบ” ดังเช่นนกก็จะร้องเพลงได้ไพเราะเมื่ออยู่ตามธรรมชาติ หากพรากมันจากธรรมชาติเสียงเพลงของนกก็หมดความไพเราะ
ยุคสัจนิยม (Realism)
กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
ยุคนี้เริ่มปฏิเสธการเน้นอารมณ์หวือหวาเพ้อฝันของกวีและเริ่มถ่ายทอดภาพชีวิตอย่างที่เป็นจริง
ไม่พยายามหลีกเร้นจากโลกแห่งความจริงไปสู่ดินแดนในจินตนาการ
แนวการเขียนแบบนี้เริ่มเป็นที่นิยมทั้งในยุโรปและอเมริกาดังเช่น
- โอโนเร เดอ บัลซัก (Honore
de Balzac:ค.ศ.1799-1852) ชาวฝรั่งเศส
เขียนนวนิยายและเรื่องสั้นจำนวน 90 เรื่องในหนังสือ
สุขนาฏกรรมแห่งชีวิต (The Human Comedy) เนื้อเรื่องส่วนให้
เกี่ยวกับสภาพความเป็นจริงในสังคม มีการโจมตีคนที่มีความละโมบโลภมาก เอาแต่ได้
- กุสตาฟ โฟลแบร์ต (Gustave Flaubert: 1821-1880) ชาวฝรั่งเศส
เป็นนักเขียนที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างความจริงที่น่าเบื่อหน่ายกับความฝันแบบโรแมนติก
เช่นนวนิยายเรื่อง มาดามวารี (Madame Bovary)
เป็นเรื่องของหญิงสาวที่เบื่อหน่ายชีวิตการแต่งงานของตนเองกับหมอที่บ้านนอกไม่มีความโรแมนติก
ต่างจากพระเอกในนิยายประโลมโลกที่เธอชอบอ่านเป็นเหตุให้เธอนอกใจสามี จากเรื่องนี้ทำให้ กุสตาฟ โฟลแบร์ต
ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสสั่งปรับข้อหาละเมิดศาสนาและศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
- ชาลส์ ดิกเกนส์ (Charles Dickens: ค.ศ.1812-1870) ชาวอังกฤษ
เป็นนักเขียนที่ถือว่าเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคม
โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กที่ถูกกดขี่แรงงานในสังคมอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเน้นสภาพสังคมโรงพยาบาลและบ้านเด็กอนาถาของลอนดอน
ถึงจะมีอารมณ์ขันแต่ก็แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
บางเรื่องก็เกี่ยวกับการปฏิรูปสังคม เช่นนวนิยายเรื่องโอลิเวอร์ ทวิสต์ (Oliver
Twist) ซึ่งตีแผ่ชีวิตเด็กสลัม
- ทอมัส ฮาร์ดี (Thomas Hardy:ค.ศ.1840-1928) ชาวอังกฤษ เขียนนวนิยายส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นการมองโลกในแง่ร้าย
และกล่าวถึงเรื่องทางเพศ ความรัก และศีลธรรม อย่างเปิดเผย
ซึ่งเป็นนวนิยายโศกนาฏกรรมของมนุษย์ผู้ต้องต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในโลก เช่น เรื่อง Far
From the Madding Crowd
- อิวาน เตอร์เกอเนฟ (Ivan Turgenev:ค.ศ. 1818-1913) ชาวรัสเซีย นวนิยายเรื่อง A Sportsman’s
Sketches ซึ่งกล่าวถึงชะตากรรมของชาวนายากจนผู้เป็นทาสติดที่ดิน
- เลโอ ตอลสตอย (Leo
Tolstoy:ค.ศ.1828-1910) ชาวรัสเซีย นวนิยายเรื่อเยี่ยมที่สุดคือ สงครามและสันติภาพ
(War and Peace)
ที่อิงประวัติศาสตร์สมัยนโปเลียนยกทัพมารุกรานในรัสเซีย
วรรณกรรมในยุคโรแมนติกมีทั้งบทกวี
นวนิยาย เรื่องสั้นและบทวิจารณ์ โดยเริ่มจากอังกฤษ
และขยายไปยังประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ต้น ๆ ของยุคเนื้อหาจะเกี่ยวกับความเฟ้อฝัน
จินตนาการ ความลี้ลับ ผจญภัย หลีกหนีความจริงในสังคม กล่าวถึงธรรมชาติ
ชีวิตที่ราบเรียบ หากแต่ปลาย ๆ
ของยุคนิยมเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่มีแง่มุมชีวิตจริงของมนุษย์
สะท้อนสภาพชีวิตสังคมในยุคที่มีการปฏิรูปสังคม ในหลาย ๆ ด้าน
และความสลับซับซ้อนของตัวละครที่คล้ายกับชีวิตจริงของมนุษย์