Development Of
Ethnomusicology In Thailand
พัฒนาการมานุษยดุริยางควิทยา
กรอบแนวคิดทางมานุษยดุริยางควิทยา
จากเอกสาร และผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง
โดยแบ่งเป็นความหมายและที่มาของมานุษยดนตรีวิทยาและความสำคัญของงานสนามทางมานุษยดนตรีวิทยา
ดังนี้ วาสิษฐ์ จรัณยานนนท์ (ม.ป.ป. : 1)
กล่าวว่าวัตถุประสงค์ของดนตรีวิทยาเปรียบเทียบ (Comparative musicology) คือ การศึกษาดนตรี และเครื่องดนตรีของชนที่ไม่ใช่ชาวยุโรป
ทั้งนี้รวมทั้งสังคมโบราณ (Primitive people)
และชาติตะวันออกที่มี
ดนตรีวิทยาเปรียบเทียบนี้โดยธรรมชาติมักถูกนำไปใช้ในการศึกษาดนตรีตะวันตกบ่อยครั้ง
แต่ก็เป็นการศึกษาทางอ้อมเท่านั้น ชื่อคำว่า “ดนตรีวิทยาเปรียบเทียบ” ไม่ได้บ่งบอกอะไรเด่นชัดนักเพราะไม่ได้ “เปรียบเทียบ” อะไรๆ มากกว่าทางวิทยาศาสตร์ แขนงอื่น ชื่อที่เหมาะสมที่สุดคือ “มานุษยดนตรีวิทยา” หรือ “ดนตรีวิทยาชาติพันธุ์” (Ethno - musicology) สำหรับมานุษยดนตรีวิทยา (Ethnomusicology) นั้น สุกรี เจริญสุข (2538 : 30) กล่าวไว้ว่า เป็นวิชาที่แยกตัวออกมาจากวิชาดนตรีวิทยา
(Musicology) ซึ่งในการศึกษาจะมีขอบเขตต่างกันออกไป
ในแง่ของความหมายคำว่า “Ethnomusicology” (Ethnomusicology มาจากคำว่า Ethno + Musicology) กับคำว่า
“Musicology”
ใช้สื่อความในกรณีที่ชาวตะวันตกทำการศึกษาวัฒนธรรมของตนเอง
โดยใช้ภาษาที่ตนเองใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันในทางตรงกันข้าม คำว่า “Ethnomusicology” ใช้สื่อความในกรณีที่ชาวตะวันตกทำกรศึกษาวิจัยวัฒนธรรม ดนตรีอื่น
ที่ไม่ใช่ภาษาของตนเอง
ดนตรีที่มีความเกี่ยวพันกับมนุษย์มาช้านานจนไม่สามารถแยกดนตรีออกจากความเป็นมนุษย์ได้ดังนั้นวิชาการทางด้านดนตรีจึงเป็นวิชาที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างดนตรีกับมนุษย์
เช่น ดนตรีวิทยา มานุษยดนตรีวิทยา มานุษยวิทยา เป็นต้น
มานุษยดนตรีวิทยา (Ethnomusicology) เรียกกันว่า ดนตรีเปรียบเทียบ (Comparative Musicology) ต่อมาในปี ค.ศ. 1950 ยาพ คุนท์ (Jaap Kunst)
ตั้งชื่อเรียกใหม่ว่า “Ethnomusicology” ซึ่งปัจจุบันแบ่งการศึกษาออกเป็น
2 ลักษณะด้วยกัน
1.เป็นการศึกษาดนตรีใดๆ
ก็ตามที่ไม่ใช่ดนตรีตะวันตก (Non – Western Art Music)
ซึ่งรวมทั้งดนตรียุโรปโบราณ และที่อื่นๆ ที่ยังคงเหลืออยู่
2.เป็นการศึกษาดนตรีทุกรูปแบบในท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่ง
ดนตรีพื้นเมือง ดนตรีของชนกลุ่มน้อย ดนตรีสมัยนิยม ดนตรีเพื่อการค้า ฯลฯ
Marriam Alan (1964 . อ้างถึงใน ปัญญา
รุ่งเรือง . 2541 : 120) กล่าวไว้ว่า
ในการศึกษาเรื่องราวทางดนตรี ของมนุษย์ เราจำเป็นต้องมีความรู้เรื่อง “ดนตรี” เสียก่อน แล้วจึงจะเข้าด้านความสัมพันธ์ระหว่าดนตรีกับวัฒนธรรม
ทั้งนี้เป็นเพราะว่าดนตรีเป็นผลผลิตที่มีลักษณะเฉพาะเป็นผลงานของมนุษย์ที่มีความเป็นเอกภาพ
(Unique)
ซึ่งสามารถดำรงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีการร่วมกันระหว่าง ผู้คนในสังคม
ไม่ใช่อยู่โดดเดียวเฉพาะตัวดนตรีเอง ดังนั้นจึงต้องมีการศึกษาวิเคราะห์กันใน 3
ประเด็น คือ
1.ความคิดรวบยอดทางดนตรี
2.พฤติกรรมของผู้คนในสังคมที่เกี่ยวข้องกับดนตรี
3.ตัวดนตรี
สำหรับความสำคัญของงานสนามทางมนุษยดนตรีวิทยา
ผู้วิจัยได้ค้นคว้าทางข้อมูลเอกสาร และงานบทความทางวิชาการ ดังนี้ ปัญญา รุ่งเรือง
(2541 : 120) กล่าวไว้ว่า ระเบียบวิธีวิจัยทางมานุษยดุริยางควิทยา (Ethnomusicologicl
research) มีเป้าหมายในการศึกษาพฤติกรรม แลผลิตกรรมของมนุษย์โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งต้องพึ่งพาทั้งการศึกษางานภาคสนามและการดำเนินงานในสำนักงานและการดำเนินการทั้งกระบวนการนั้นจะอุบัติตามผลการศึกษาในภาคสนาม
ดังที่ Merriam (1944)
ให้แง่คิดเกี่ยวกับเป้าหมายในการศึกษางานภาคสนามไว้สามประการซึ่งผู้ที่ออกภาคสนามจำเป็นต้องตัดสินใจให้แน่นอนเสียก่อน
กล่าวคือ
1.เป้าหมายในการวิจัยควรเป็นการบันทึก
และวิเคราะห์ข้อมูลทางดนตรี หรือเข้าใจดนตรีในแง่ของพฤติกรรมมนุษย์
2.ศึกษาแบบเจาะลึก หรือศึกษาโดยส่วนรวม
3.ศึกษาเพื่อความรู้ในสิ่งนั้นๆ
ปรือศึกษาเพื่อการปฏิบัติ (คือ รู้เรื่อดนตรีเพื่อเล่นดนตรี)
ส่วนของหลักสำคัญที่สุดของงานสนาม
และเป้าหมายในการศึกษางานาคสนาม ได้ค้นคว้าโดยกล่าวไว้ดังนี้ งามพิศ สัตย์สงวน
(2542 : 63) กล่าวไว้ว่า หลักการสำคัญที่สุดของงานวิจัยสนามของมานุษยวิทยาคือ
การสังเกตมีส่วนร่วม (Participant observation)
งานสนามเป็นสิ่งสำคัญในงานสังคมวิทยา
มานุษยวิทยา และมานุษยดนตรีวิทยา
นำไปสู่การยอมรับทางการศึกษาจากโต๊ะทำงานนางมานุษยวิทยาทางดนตรีมีการบันทึกเสียง
สัมภาษณ์ ถ่ายรูป และการสังเกตตีความจากตัวโน้ต
ในการรวบรวมข้อมูลต้องใช้ประสบการณ์ต่างๆ มากมายในงานภาคสนาม ในอดีตงาส่วนใหญ่แค่รวบรวมเอกสารจากห้องสมุด
แต่นักมานุษยดนตรีวิทยาในทุกวันนี้ต้องรวบรวมวัสดุ ข้อมูล จากแหล่งข้อมูลจริงๆ
ได้สัมผัสจริงๆ มรการบันทึกโน้ตตามวิธีที่เชื่อถือได้
มีการสอบสวนประวัติศาสตร์โดยการสัมภาษณ์ ล้วนแล้วแต่หาความจริงจากแห่งข้อมูลโดยตรง
สำหรับนักมานุษยดนตรีวิทยาในการลงสนาม ต้องใช้ความสามารถในภูมิศาสตร์
และภาษาศาสตร์ด้วย การลงสนามแต่ละครั้งนั้นไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
สิ่งที่เป็นรูปแบบทั่วไปของการลงภาคสนามมีดังนี้
1.ผู้ให้ข้อมูล (Informer)
เป็นบุคคลที่สนับสนุนเรื่องราวต่างๆ ที่เขาอยากรู้ คำบอกเล่าต่างๆ
อาจจะยากในการศึกษาข้อมูล เราต้องคุยให้มีความใกล้ชิดเหมือนคุยกับเพื่อน
ทำผู้ให้ข้อมูลมีส่วนร่วมกับการสัมภาษณ์ ข้อมูลจะดีหรือไม่ดี
ผู้ให้ข้อมูลมีส่วนสำคัญมาก
ผู้คนในงานภาคสนามเหล่านี้จะเป็นผู้บอกเราเกี่ยวกับการเป็นอยู่และดนตรีของเขา
2.งานภาคสนามที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านดนตรี
และวัฒนธรรม (เกี่ยวกับพิธีกรรม ประเพณี และความเป็นอยู่)
และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง เช่น การสัมภาษณ์ การสนทนา การบันทึก การตัดต่อต่างๆ
เพื่อช่วยให้งานสะดวกขึ้น
3.การจดบันทึกในรูปแบบของการบันทึกภาคสนาม
มีการบันทึกเสียงดนตรี การสัมภาษณ์ลงเทป การถ่ายภาพนิ่ง การบันทึกวีดีทัศน์
รวบรวมงานภาคสนามที่พบลงในสมุด การบันทึกเครื่องดนตรี การบรรเลง
โดยรูแบบส่วนใหญ่เป็นการรวบรวมสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ ในงานมานุษยดนตรีวิทยา คือ
การเก็บบันทึกข้อมูล และการรักษาข้อมูล รวมถึงการถ่ายข้อมูลไปที่ทำงาน บ้าน
หอเอกสาร
จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรมในเรื่องมนุษยดนตรีวิทยาทำให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของสาขาที่ได้ให้ความหมายของวิชามานุษยดนตรีวิทยานี้ไว้ว่า
เป็นวิชาที่แยกตัวออกจากดนตรีวิทยา (Musicology)
นิชาดังกล่าวเป็นการศึกษาเฉพาะดนตรีที่มีอยู่สังคมของชาวตะวันตก
แต่ในทางดนตรีมานุษยวิทยา (Ethnomusicology)
เป็นการศึกษาดนตรีที่อยู่นอกวัฒนธรรมของชาวตะวันตกแม้ว่าเราจะอยู่นอกวัฒนธรรมตะวันตกก็ตามแต่เราก็ยังใช้ชื่อมานุษยดนตรีวิทยาในการเรียกชื่อวิชาที่ศึกษาถึงดนตรีที่อยู่นอกวัฒนธรรมของเรา
เช่น ดนตรีชาวเขา ดนตรีพื้นบ้าน ฯลฯ
สำหรับความเกี่ยวข้องของงานภาคสนามกับวิชามานุษยดนตรีวิทยา (Ethnomusicology) นั้นกล่าวโดยสังเขป คือ งานสนามเป็นหัวใจของดนตรีมานุษยวิทยาก็ว่าได้
เพราะงานสนามเป็นหนทางของข้อมูลที่นำมาศึกษาวิจัย
โดยงานสนามมุ่งเน้นไปที่การมีส่วนร่วมในสังคมเพื่อความเข้าใจ การจดบันทึก
และทำความเข้าใจกับดนตรีในแง่ต่างๆ เช่น พฤติกรรมของสังคมที่มีต่อดนตรี
ความสำคัญของตัวดนตรีที่มีต่อวัฒนธรรม ฯลฯ
(ธรรมนูญ จิตตรีบุตร . 2543 : 3)
ดนตรีเผ่าพันธุ์ (Ethnic Music)
ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆเป็นศิลปะอันรงคุณค่า มีความงาม
มีความเป็นสุนทรียศาสตร์ ภายในตัวเอง ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มชนนั้นๆ
เช่นเดียวกับวัฒนธรรมอื่น คุณค่า ความงาม และสุนทรียศาสตร์
ในศิลปวัฒนธรรมของพวกเขา ก็ไม่น้อยไปกว่าวัฒนธรรมอื่น แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า
ดนตรีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ นั้นกำลังสูญหายไป
ถ้าทุกวันนี้เรายังนิ่งนอนใจไม่ได้ให้ความสำคัญ กับการอนุรักษ์วัฒนธรรมในด้านต่างๆ
ความรู้และศิลปะอันทรงคุณค่าของกลุ่มวัฒนธรรมในด้านต่างๆ สิ่งที่ตามมาคือ
ความรู้ภูมิปัญญาที่ถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
เหล่านั้นจะสูญเสียวัฒนธรรมของตนเองไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น