วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เตือนภัยบุหรี่ไฟฟ้า สั่งห้ามเข้าไทยฤทธิ์เท่าเฮโรอีน

คือจาก http://www.pantip.co...9/X8973999.html จั่วหัวไว้ว่า เตือนภัย บุหรี่ไฟฟ้า : สั่งห้ามเข้าไทย ฤทธิ์เท่าเฮโรอีน เอ่ออ่านดูก็น่าสนใจนะ มันไม่ดีจริงเหรอ พออ่านไปเรื่อยๆ กลับพบว่า rep ที่ตอบหลังๆ กลับมาสนับสนุนซะอีก ว่า ที่เค้าเลิกบุหรี่ได้ ก็เพราะ ไอ้บุหรี่ไฟฟ้านี่แหละ และหลายๆคน เลิกสูบบุหรี่จริง ตั้งแต่สูบไอ้บุหรี่ไฟฟ้านี่ครั้งแรกเลย ผมก็เลยไล่ๆตามหาข้อมูลต่อ ถึงเรื่องข้อมุลที่ว่า ก็ไปเจอนี่เข้า http://www.iquittclu...mo=5&qid=444053 1.มีนิโคตินสูงเปน 15 เท่าของบุหรี่จริง (ทำให้บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายเทียบเท่าโคเคน) 2.ห้ามจำหน่ายใน 5 ประเทศตามเนื้อข่าวคือ ควีนส์แลนด์/ออสเตรเลีย ปานามา บราซิล ตุรกี จอร์แดน ...ผมได้ข่าวนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มีนาคมแล้วครับ โดยลงหนังสือพิมพ์ในวันที่ 10 ถึงเรื่องดังกล่าว และผมได้ต่อสายตรงเพื่อเข้าชี้แจงกับท่านผอ.สนง.ควบคุมการบริโภคยาสูบ กรมควบคุมโรค นพ.ชูฤทธิ์ เต็งไตรรัตน์ (ผู้ให้ข่าว ตามข่าว) เพื่อแจ้งท่านว่า 1. นิโคตินที่บอกว่าสูงเป็น 15 เท่านั้น ผิดจากข้อเท็จจริงมาก เพราะท่านเทียบจากบุหรี่ตัวหนึ่งมีนิโคติน 1.2 มก. แต่ระดับความเจือจางของนิโคตินในคาร์ทริดจ์ระดับสูงคือ 18 มก.ท่านก็เทียบแบบบัญญัติไตรยางเลยคือ 1.2/18 เท่ากับ 15 เท่า ในความเปนจริง น้ำยาในคาร์ทริดจ์ ของ iquitt จะมีระดับนิโคตินแบบสูงสุดที่ 16 มิลลิกรัม/1มิลลิลิตร ซึ่งน้ำยาจริงๆที่บรรจุในคาร์ดทริดจ์จะมีอยู่ 0.48 มก. หรือเทียบง่ายๆว่าครึ่งหนึ่ง จึงจะเหลือค่านิโคตินเจือจากเพียงแค่ครึ่งเดียว...ซึ่งเท่ากับ 8 มก. เมื่อทราบว่ามีปริมานนิโคตินในคาร์ดทริดจ์เต็มๆอยู่ราว 8 มก. ก็จะเทียบได้กับบุหรี่จริงๆ 1.2 มก/8 มก เท่ากับไม่ถึง 7 ตัวนะครับ แต่ด้วยว่ามันสามารถใช้งานได้จริงๆ 80-120 puff ซึ่งเทียบกับบุหรี่จริงๆ ซึ่งจะมีค่าอยู่ที่ 12-15 puff ต่อตัว ก็จะเทียบได้ว่าเท่ากับบุหรี่ ราวๆ 7-9 ตัว บวกลบ... เมื่อเทียบกันแล้ว...การสูบในแต่ละ Puff ของ iQuitt จะให้ค่าเฉลี่ยใกล้เคียงกับการสูบบุหรี่จริงๆมากที่สุด ไม่มีใครที่ใช้งาน iQuitt 1 คาร์ดทริดจ์แล้วใช้เวลาเท่ากับการสูบบุหรี่ 1 ตัวได้หรอกครับ เปนการเทียบเคียงที่ขาดสภาพความเปนจริงอย่างมาก2. ที่กล่าวว่าห้ามจำหน่ายใน 5 ประเทศข้างต้น จริงๆมี สิงคโปร์ ฮ่องกง รวมอยู่ด้วย เท่ากับราวๆ 7-8 ประเทศที่ไม่อนุญาติให้จำหน่าย แต่..ประเทศที่ให้จำหน่ายจริงๆอย่างเสรีคือ สหราชอาณาจักร (อังกฤษ) และกลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปอันประกอบด้วย เบลเยี่ยม บัลแกเรีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี ไอร์แลนด์ อิตาลี ลัตเวีย ลิทัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส โรมาเนีย สโลวีเนีย สเปน สวีเดน เรียกได้ว่าเกือบทั้งทวีป รวมถึงนิวซิแลนด์ และรัฐอื่นๆที่เหลือนอกจากควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย และประเทศที่อยู่ในระหว่างการพิจาณาคือ สหรัฐอเมริกา (ใช้งานได้ในบางรัฐ) รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะประกาศเปนเครื่องมือทางการแพทย์ หรือเปนบุหรี่ชนิดที่ปลอดภัยได้หรือไม่... ได้ทำหนังสือชี้แจงพร้อมทั้งเอกสารต่อ สธ และ สนงควบคุมการบริโภคยาสูบแล้ว รวมถึงชี้แจงต่อสื่อมวลชน (เมื่อว่าให้สัมภาษณ์กับช่อง 3 ดังที่เปนข่าวในช่วงข่าวเด่นฯ และข่าว 3 มิติ ผู้ให้ข่าวคือผมเอง) ...หวังว่าคงทำความเข้าใจได้นะครับ หรือหากไม่เข้าใจจุดไหน เดี๋ยวจะเข้ามา monitor บ่อยๆครับผม... เอ่อนะ บอกว่า มันห้ามจำหน่ายใน หลายๆประเทศ แต่ก็ไม่เอาประเทศที่เค้าให้จำหน่ายได้อย่างถูกต้องมา ซึ่ง เยอะแยะมากมาย - -" แล้วก็เหลือบไปเห็นจากในกระทู้จากพันทิพแหละ ว่า รัฐ วิสาหกิจที่นำส่งรายได้เข้ารัฐ ประกอบด้วย โรงงานยาสูบ (รยส.) จำนวน 1,853 ล้านบาท ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ 733.18 ล้านบาท เนื่องจาก "ได้นำเงินบางส่วนไปใช้ในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่" สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จำนวน 1,120 ล้านบาท บมจ.กสท.โทรคมนาคม จำนวน 1,109 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 530 ล้านบาท บมจ.ท่า อากาศยานไทย จำนวน 420 ล้านบาท การประปานครหลวง (กปน.) จำนวน 300 ล้านบาท การเคหะแห่งชาติ (กคช.) จำนวน 260.30 ล้านบาท สำนักงานธนานุเคราะห์ จำนวน 76.38 ล้านบาท องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อสค.) จำนวน 5 ล้านบาท การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) จำนวน 6,000 บาท จากดอกผล ของบัญชีเงินฝาก และกิจการที่กระทรวงการคลังถือหุ้นต่ำกว่า 50% คือ กองทุนรวมวายุภักษ์ ทั้งนี้ ส่งผลให้การนำส่งรายได้แผ่นดินของรัฐวิสาหกิจ 5 เดือนแรกของปีงบประมาณ 53 (ต.ค.52-ก.พ.53) รัฐวิสาหกิจสามารถนำส่งเงินรายได้เข้าคลังทั้งสิ้น 32,498.52 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ประมาณการไว้ จำนวน 1,798.08 ล้านบาท จากเป้า 30,700.44 ล้านบาท และเชื่อว่าทั้งปีงบประมาณ 53 รัฐวิสาหกิจจะสามารถนำส่งรายได้ให้รัฐได้ตามเป้าหมาย เห็นภาพไม๊ครับว่า..รัฐวิสาหกิจองค์กรไหน ทำรายได้ให้รัฐสูงสุด!! สูงกว่าอันดับ 2 และ 3 รวมกันเสียอีก หากไม่ได้เอาเงินไปลงทุนทำโรงงานยาสูบแห่งใหม่??? 733 ล้านที่หายไป ไม่ใช่ค่าสร้างโรงงานนะ แต่เพราะสร้างโรงงานแล้ว กำไรขาดไปแค่เจ็ดร้อยกว่าล้าน กำไรจากโรงงานยาสูบ สร้างโรงงานใหม่ได้ปีละหลายโรงก็ว่าได้.... - -* เลยมองเห็นภาพแล้วว่า เค้าว่าไอ้บุหรี่ไฟฟ้า ว่ามันไม่ดีเนี่ย เพราะอะไร โดยส่วนตัวไม่สูบบุหรี่ แต่เห็นหลายๆคนที่สูบอยู่ อยากเลิก(จากที่เคยอ่านมาในเนต ทุกคนที่สูบบุหรี่ เคยลองเลิกบุหรี่มาแล้วทั้งนั้น) เลยสนใจเพราะอุปกรณ์ตัวนี้ เท่าที่ลองอ่านดู และอ่านจากเวปบอร์ดที่มีคนตอบเป็นพันๆ เค้าก็ใช้อยู่และมันใช้งานได้จริง (หมายถึงเลิกได้จริงอ่ะนะ) อย่าให้รัฐบิดเบือนความจริงในเรื่องที่ว่ามันช่วยให้คนที่ติดบุหรี่อยู่ เลิกบุหรี่ได้จริง และมันมีพิษร้ายแรงกว่าบุหรี่จริง ซึ่งจริงๆ มันไม่ได้ต่างอะไรกับบุหรี่จริงเลย ต่างก็แค่ไม่มีสารพิษ สารก่อมะเร็ง สารโน่นนั่นนี่ที่ในบุหรี่มีกว่า 4000 ชนิด ซึ่งในบุหรี่ไฟฟ้าก็มีแค่นิโคตินสกัด ซึ่งในบุหรี่จริงมี แค่นั้นเอง ตอนที่ได้อ่านจากพันทิพ ตื่นเต้นนะ ว่าเอ่อมันมีอุปกรณ์ที่ทำให้เลิกบุหรี่แบบนี้ได้ด้วยเหรอ (ดีใจแทนคนอยากเลิก) แต่ก็เป็นห่วงว่า ถ้ามันบังคับห้ามขายจริงเนี่ย แล้วคนที่เลิกสูบบุหรี่จริงได้ แล้วสูบพวกนี้แบบ non คือแบบไม่มีนิโคติน สูบเอาควันเฉยๆเนี่ย เค้าจะทำยังไง ? บางคนอาจเลิกได้ แต่บางคนต้องกลับไปทำร้ายสุขภาพตัวเองโดยการกลับไปสูบบุหรี่จริง ถ้ามีอะไรเพิ่มเติม เด๋วผมก็คงหามาแปะๆเองแหละ จนถึงวันนี้ ก็ยังหาซื้อได้ทั่วไป แนะนำว่า ถ้าไม่ได้สูบ ไม่ต้องอยากซื้อมาลองนะ - -" คนติดเค้าอยากเลิกจะตาย แต่ไอ้คนไม่สูบ ดันอยากจะติดเนี่ย ท่าจะแย่ แต่ผมจะหาซื้อมาซักตัว กะว่าให้คนรู้จักที่สุบบุหรี่จริงอยู่เค้าลอง เผื่อว่า เค้า ok ใช้ไอ้นี่แทนบุหรี่ อย่างน้อย ถึงเลิกบุหรี่จริง มาติดไอ้นี่แทน แต่ บุหรี่ไฟฟ้า ไม่มีน้ำมันดิน ไม่มีสารพิษเทียบเท่าบุหรี่จริง ถึงเลิกบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ แต่มันก็ไม่ทำลายสุขภาพเหมือนบุหรี่จริง ก็ยังดีสินะ แล้วจากที่ผมลองตามหาข้อมูลของผลข้างเคียงมาหลายวัน ก็พบประมาณนี้ - ทำให้อ้วนขึ้น เพราะไม่ได้สูบบุหรี่จริง กินข้าวได้ดีขึ้น = = - ฟันไม่เหลือง กลิ่นบุหรี่ไม่มีติดมือ ติดเสื้อผ้า เหมือนบุหรี่จริง - ไม่ไอตอนเช้าเหมือนตอนสูบบุหรี่อยู่ แถม ไม่ค่อยมีเสมหะด้วยสินะ - เลิกเหนื่อยง่าย - ปากแห้ง หิวน้ำบ่อยขึ้น ถ้าฝืนไม่กินน้ำ ก็จะเป็นร้อนใน <<< อันนี้จริงๆ ข้างบนก็ล้อเล่น แต่เป็นผลจริงๆของมัน - ตด <<< เห็นว่าบริโภคลมเข้าไปเยอะ เลยออกทางก้นมั้ง - -" ผมว่า ในบอร์ดนี้ เด็กๆที่สูบบุหรี่ก็คงมีไม่น้อยหรอก - -" แต่ถ้าอยากเลิก แล้วลองหลายๆวิธีไม่ได้ผล ก็ลองไอ้นี่ดู เพราะมันไม่ได้เป็นการเลิกบุหรี่หรอก แค่เราไปสูบอีกอย่าง ที่คล้ายๆบุหรี่ แต่ไม่มีพิษต่อร่ายกาย เท่าบุหรี่ แค่นั้นเอง ดูนี่สิ ว่าบุหรี่ที่คุณๆสูบกันหน่ะ มันมีอะไรอยู่ในนั้น

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผลการวิจัยปัจจัยที่มีผลต่อการฝึกซ้อมวิชาดนตรี สาธิต มศว ประสานมิตร (ฝายมัธยม)

คำสำคัญ : ปัจจัย / การฝึกซ้อม / นักเรียนรายวิชาเพิ่มเติมเลือกทางดนตรี / โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ( ฝ่ายมัธยม ) ยงยุทธ เอี่ยมสอาด : ปัจจัยที่มีผลต่อการฝึกซ้อมดนตรีของนักเรียนรายวิชาเพิ่มเติมเลือกทางดนตรี และเหตุผลในการไม่ฝึกซ้อมดนตรีของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างประชากรได้แก่ นักเรียนรายวิชาเพิ่มเติมเลือกทางดนตรีในกลุ่มเครื่องดนตรีเครื่องสายสากล กลุ่มเครื่องดนตรี โยธทวาธิต กลุ่มเครื่องดนตรีเครื่องสายไทยและกลุ่มเครื่องดนตรีปี่พาทย์ จำนวน 211 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้วิธีการสัมภาษณ์เป็นรายบุคคล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือการหาค่าร้อยละ และค่ามัชฌิมเลขคณิต ผลการวิจัยพบว่า 1.สาเหตุที่ไม่ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอพบว่าเกิดจากนักเรียนขาดแรงจูงใจในการฝึกซ้อมเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียนแต่ต้องเรียนตามที่ผู้ปกครองต้องการ นักเรียนให้ความสำคัญและ ใช้เวลาในการศึกษาวิชาการมากกว่าด้านดนตรี นักเรียนมีกิจกรรมมากที่ต้องกระทำ การมไม่มีเครื่องดนตรีส่วนตัวสำหรับฝึกซ้อมที่บ้าน นักเรียนไม่มีเป้าหมายทางดนตรีในอนาคต 2. ปัจจัยด้านต่างๆที่ส่งผลต่อการฝึกซ้อมมี ดังนี้ ปัจจัยที่เกี่ยวกับผู้ปกครอง ได้แก่ การสนับสนุนของผู้ปกครองและ ความคาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียนดนตรี ปัจจัยที่เกี่ยวกับผู้เรียน ได้แก่ ทัศนคติต่อการเรียนดนตรี เหตุผลในการเลือกเรียนดนตรี และเป้าหมายทางดนตรีในอนาคต ปัจจัยที่เกี่ยวกับครู ได้แก่ บุคลิกภาพของครู ทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อครู และความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน ปัจจัยเกี่ยวกับเพื่อน ได้แก่ การมีเพื่อนเรียนในบทเพลงเดียวกัน ปัจจัยที่เกี่ยวกับบทเพลงและแบบฝึกหัด ได้แก่ ความยากง่ายของเพลง ความไพเราะและ เป็นที่นิยมของบทเพลง และการมีส่วนร่วมในการเลือกเพลง ปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและ บรรยากาศในการฝึกซ้อม ได้แก่ การมีห้องซ้อมดนตรีเป็นสัดส่วน และการซ้อมดนตรีในขณะที่สมาชิกในบ้านกำลังทำกิจกรรมอื่นในห้องเดียวกัน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ได้แก่ การสอบเทียบเกรดทางดนตรี การแสดงคอนเสริต์ และการเข้าร่วมการแข่งขันด้านดนตรี 3.ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฝึกซ้อมมากที่สุด ได้แก่ ปัจจัยเกี่ยวกับผู้เรียน และปัจจัยที่ส่งผลต่อการฝึกซ้อมน้อยที่สุด ได้แก่ ปัจจัยที่เกี่ยวกับเพื่อน

โมโนโฟเบีย โรคห่างโทรศัพท์มือถือไม่ได้

ฝ่ายพัฒนานักเรียนโรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นจากการที่นักเรียนถูกคุณครูเรียกเก็บโทรศัพท์มือถือที่นำมาใช้ในห้องเรียน มีนักเรียนถึงกับถีบเก้าอี้เพื่อแสดงออกในความไม่พอใจ ในการถูกเรียกเก็บโทรศัพท์มือถือที่เล่นในชั่วโมงเรียน มีนักเรียนใช้มือตนเองทุบโต๊ะอย่างแรงเพื่อแสดงอารมณ์ไม่พอใจเมื่อยึดโทรศัพท์มือถือ มีนักเรียนหญิงไม่สนใจต่อการที่จะถูกตัดคะแนนความประพฤติ อยากตัดก็ตัดไป แต่อย่าเอาโทรศัพท์มือถือไป.............อีกหลายเหตุการณ์มาก อดตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า โทรศัพท์มือถือสำคัญกว่าอะไร ใดๆแล้วหรือ.......เพราะอะไรล่ะ........... โมโนโฟเบีย ลองสำรวจตัวเองกันหน่อยมันมาใกล้ตัวเราหรือยัง โรคห่างโทรศัพท์มือถือไม่ได้..... ความกลัวจากสัตว์หรือสิ่งของซึ่งคนธรรมดาทั่วไป อาจเห็นเป็นเรื่องสามัญมากๆนี้ เป็นความกลัวซึ่งเป็นโรคเล็กๆที่เรียกว่า Phobia นั่นเอง Phobia หรือโรคกลัวในทางจิตเวช เราถือว่าเป็นโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรควิตกกังวล เป็นความกลัวคนละแบบกับ กลัวที่แปลว่า fear ในพจนานุกรม อธิบายคำว่า โฟเบีย (Phobia) นี้ว่าหมายถึง ความกลัว โรคหวาดกลัว ความกังวลชนิดครอบงำ ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงหรือน่าเห็นอกเห็นใจอะไรเท่าไหร่ เพราะเราทุกคน ล้วนแล้วแต่มีความกลัวอะไรบางอย่างกันทั้งนั้น แต่ นายแพทย์ไมเคิล คาฮาน จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาโรคโฟเบีย โรงพยาบาลฮิลล์ไซด์ นิวยอร์ค ชี้แจงไว้ว่า ผู้ที่มีอาการโฟเบียต่ออะไร จะกลัวสิ่งนั้นๆ "แบบไร้ขีดจำกัด" "อย่างไร้เหตุผล" และความกลัวที่ว่าก็ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของบุคคลนั้นด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากใครสักคนกลัวงู เรายังไม่สามารถด่วนสรุปได้ว่า เขาหรือเธอคนนั้นมีอาการโฟเบียงู นอกเสียจากว่า ความกลัวงูของเขาจะก่อให้เกิดผลกระทบในทางเลวร้ายต่อคุณภาพชีวิตของตัวเอง ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า ผู้ที่เกิดอาการโฟเบียมีแนวโน้มที่จะทำ "ทุกวิถีทาง" เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็ส่งผลร้ายต่อไปอีกขั้น เพราะความพยายามในการหลบๆ เลี่ยงๆ สัตว์ วัตถุ หรืออะไรก็แล้วแต่ จะทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก คุณหมอไมเคิลยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งโฟเบียได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ Specific Phobia และ Social Phobia แปลกันอย่างตรงตัว Specific Phobia คือ โฟเบียแบบจำเพาะ และ Social Phobia ก็คือ โฟเบียทางสังคม - Cynophobia กลัวสุนัข แต่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น จะพอสรุปได้ว่า โฟเบียแบบจำเพาะ หรือ Specific Phobia คือความกลัวอย่างรุนแรงต่อ วัตถุ สัตว์ หรืออะไรบางอย่างเปนการเฉพาะเจาะจง เช่น กลัวหนู กลัวงู หลัวลิฟต์ กลัวเลือด กลัวความมืด กลัวหมอฟัน หรือกลัวลูกเจี๊ยบ Acrophobia กลัวความสูง ส่วนโฟเบียทางสังคม หรือ Social Phobia คือความกลัวในสถานการณ์ เช่น กลัวเวที กลัวการปรากฏตัวในที่สาธารณะ กลัวที่จะต้องทำความรู้จักกับคนแปลกหน้า ผู้ที่เกิดความกลัวในประเภทนี้ มักจะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม เพราะกลัวว่าตนเองอาจแสดงอะไรไม่เข้าท่าให้เป็นที่ขายหน้าได้ พูดง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับคนขี้อาย แต่เป็นการอายแบบสุดขั้ว ชนิดที่แทบจะไม่สามารถไปไหนมาไหนโดยลำพังได้ ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ไม่คิดหาทางแก้ไข ก็อาจส่งผลร้ายถึงขั้นที่ทำให้เกิดอาการเก็บกดหรือซึมเศร้า เสี่ยงต่อการเป็นโรคประสาทถาวรกู่ไม่กลับมาก ตามสถิติที่แจ้งไว้ทางหน้าข่าวสุขภาพของ www.msn.com คือ ปัจจุบันชาวอเมริกันจำนวนร้อยละ 6-12 มีอาการโฟเบียแบบแรก ส่วนโฟเบียประเภทหลัง ตัวเลขปาเข้าไปถึงกว่าร้อยละ 13 แล้ว ถามว่า โฟเบียมีสาเหตุมาจากอะไร ขอย้อนกลับไปอ้างถึงคำพูดของคุณหมอไมเคิล คาฮาน นั่นคือ ไม่มีใครให้คำตอบได้แน่ชัด แม้ในบางรายของโฟเบียแบบจำเพาะ จะพอรู้คร่าวๆ ถึงต้นสายปลายเหตุได้อยู่บ้าง เช่น คนที่กลัวหมา นั่นก็อาจเป็นเพราะเคยถูกหมากัดตอนเด็กๆ หรือกลัวน้ำ เพราะเคยจมน้ำมาก่อน แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีใครสามารถฟันธงได้ว่าอาการโฟเบียเกิดจากอะไรแน่ อยากให้ลองสำรวจตัวเองกันดูว่าเราห่างจาโทรศัพท์มือถือไม่ได้หรือป่าว เราใกล้โมโนโฟเบียแล้วหรือยัง